
7 กันยายน 2568 ผลโหวตนายกฯอนุทิน สะท้อนสัจธรรมการเมืองไทยได้หลายข้อ
หนึ่ง คือ รัฐบาลเสียงข้างน้อยของประเทศไทย ส่อเค้า “ไม่มีจริง” ตามที่ อาจารย์วิษณุ เครืองาม เคยว่าเอาไว้ / โดย อาจารย์วิษณุ บอกว่า ตอนตั้ง เป็นเสียงข้างน้อย แต่อยู่ไป อยู่ไป จะเป็นเสียงข้างมาก
**เหตุผล อาจารย์วิษณุ ไม่ได้บอก แต่เป็นที่รู้กันว่า พรรคการเมือง และนักการเมืองไทย ต้องการเป็นรัฐบาลเท่านั้น ไม่มีใครอยากเป็นฝ่ายค้าน
**อดีตคนการเมืองรุ่นลายคราม เสียชีวิตไปแล้ว เคยเปรยเอาไว้ว่า เป็นฝ่ายค้าน “อดอยากปากแห้ง” / วลีนี้น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
**แต่คำตอบสวยหรู แต่ไม่ค่อยมีใครเชื่อ ก็คือ นักการเมืองไทย แย่งกันมาทำงานเพื่อบ้านเมือง ผลักดันนโยบายของตน เพื่อให้ประเทศชาติพัฒนา ประชาชนอยู่ดีกินดี
สอง ระบบการเมืองไทย เป็นระบบเสียงข้างมากแบบสมบูรณ์ / อย่างน้อยตอนโหวตนายกฯ ต้องได้เสียงข้างมาก จึงต้องไปขอคะแนนพรรคประชาชน / จะสังเกตเห็นได้ว่า เมื่อพรรคประชาชนยอมโหวตให้ / ปรากฏว่าไม่มีใครเชื่อเลยว่า “ไม่มีดีลเบื้องหลัง”
สาม ระบบการเมืองไทย คือ “ชนะกินรวบ” หรือ winner takes all จึงมีแต่คนอยากชนะ อยากเป็นรัฐบาล
ผลโหวตเลือกนายกฯ ยังทำให้เห็นสัจธรรมการเมืองอีกข้อหนึ่งคือ พรรคการเมืองบ้านเราไม่ได้มีอุดมการณ์หนักแน่นอะไรเลย แต่ “ไหล” และ “เปลี่ยนไปตามสถานการณ์” ซึ่งไม่ได้หมายถึงสถานการณ์ปัญหาของประเทศหรือของโลก / แต่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ของ “ผลประโยชน์ทางการเมือง”
ผลโหวตครั้งนี้ สำหรับพรรคการเมือง และกลุ่มการเมืองฝ่ายเพื่อไทยเดิม ซึ่งไปเปิดตัวกับคุณอนุทินตั้งแต่วันแรกๆ ยังถือว่า “พอยอมรับได้ - สังคมพอให้อภัย” เพราะมีความกล้าหาญ หากพลาด หรือดีลล่ม ก็เสียคน เสียหน้า
แต่พวกที่ “แทงกั๊ก” จนนาทีสุดท้าย ถือว่าน่าสนใจ และประชาชนควรจะจดชื่อพรรค ชื่อตัวเอาไว้
หนึ่ง คือ รวามไทยสร้างชาติ กลุ่มที่ไม่ใช่ กลุ่ม 18 นำโดย เสี่ยเฮ้ง - ดอกเตอร์แด๊ก
ผลโหวต รวมไทยสร้างชาติ 36 สส. โหวตให้คุณอนุทิน 33 คน งดออกเสียง 3 คน แปลว่า 17 สส.ที่ไม่ใช่กลุ่ม “เสี่ยเฮ้ง - ดอกเตอร์แด๊ก” แปรพักตร์หนีเพื่อไทย โดยที่ไม่ได้ไปเปิดตัวตั้งแต่แรก / แต่ไปเกาะขบวนรถไฟ “อนุทิน 1” ช่วงโค้งสุดท้าย / แถมไม่ได้มีมติอะไรอย่างเป็นทางการ ตามที่เคยอ้างหลักการหนักแน่นก่อนหน้านี้เลย
เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มเสี่ยต่อ หัวหน้าพรรค ลงคะแนน “งดออกเสียง” ถึง 20 คน / มีแตกแถวไป 5 คน / เป็นกลุ่มคุณนิพนธ์ 3 คน และอีก 2 คนเป็นพวกพยายามเกาะขบวนรถไฟเหมือนกัน
น่าสนใจตรงที่ พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะ “พรรคเจ้าหลักการ” ครั้งนี้โหวต “งดออกเสียง” โดยไม่มีหลักการสวยหรูอะไรมาสื่อสารกับสังคมเลย
“ไทรวมพลัง - ประชาชาติ” จุดยืนชัด ไม่หักหลังใคร
พรรคการเมืองอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ประชาชนควรจดจำไว้ เผื่อไปลงคะแนนให้รอบหน้า คือ พรรคที่มีจุดยืนชัดเจน และพร้อมเป็นฝ่ายค้าน เมื่อการเมืองเปลี่ยนแปลง
หนึ่ง คือ พรรคไทรวมพลัง ของ “คุณกังฟู” วสวรรธน์ พวงพรศรี หัวหน้าพรรค แม้เป็นพรรค 2 เสียง แต่เป็น 2 เสียงสำคัญของอุบลราชธานี ถิ่นอีสานใต้ / จึงไม่แปลกที่จะถูกจีบ ถูกชวนอย่างหนัก / แถมพ่วงด้วยความเป็น “กลุ่มแป้งมัน” ทุนหนา เครือข่ายเยอะ / แต่พรรคไทรวมพลัง ก็ไม่หวั่นไหว
สอง คือ พรรคชาติไทยพัฒนา นำโดย คุณวราวุธ ศิลปอาชา แม้จะมีข่าวอยากเกาะรถไฟขบวนสุดท้าย แต่ในท้ายที่สุดโหวตให้แคนดิเดตของเพื่อไทย ตามที่มีสัญญาใจต่อกัน
สาม พรรคประชาชาติ นำโดย พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งยึดมั่นอุดมการณ์ เดินหน้าตรวจสอบ / ดับเครื่องชนพรรคภูมิใจไทยจนนาทีสุดท้าย ไม่ยอมเปลี่ยนข้าง เพราะตัวเองเคยอภิปรายเรื่องเขากระโดง และมีบทบาทตรวจสอบกรณีฮั้ว สว.
8 เสียงของพรรคประชาชาติ โหวตให้แคนดิเดตพรรคเพื่อไทยครบถ้วน ไม่ขาดแม้แต่เสียงเดียว ยกเว้น อาจารย์วันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีตหัวหน้าพรรคประชาชาติที่ต้องงดออกเสียง เพราะเป็นประธานสภา
“อ.วันนอร์” ลบคำปรามาส - พานิติบัญญัติฝ่าวิกฤตการเมือง
พูดถึง อาจารย์วันนอร์ ต้องยอมรับในความเที่ยงตรง เป็นกลาง ในการทำหน้าที่ / แม้จะมีการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีที่ไม่ใช่ฝ่ายตน แต่ก็ไม่มีการดึงเกม แล่นแร่แปรธาตุ เพื่อให้ฝ่าย ครม.เดิมที่พรรคตัวเองร่วมรัฐบาลด้วย ชิงความได้เปรียบ / ข่าวที่ว่าท่านจะลา จะหนีประชุม ก็ไม่จริง / ท่านไปทำหน้าที่ และเป็นกลางอย่างที่สุด ทำให้การเลือกนายกฯเป็นไปอย่างเรียบร้อยพอสมควร
อาจารย์วันนอร์ เปิดใจกับทีมข่าวเนชั่น ช่วงที่ไปร่วมงาน “5 กันยา วันสถาบันพระปกเกล้า” ว่า ตนไม่หวั่นไหว ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเท่าที่มีอำนาจตามกฎหมาย และทำให้ทุกอย่างเรียบร้อย บ้านเมืองต้องเดินหน้าต่อไป
การทำหน้าที่ของตน สามารถทำให้กลไกการเมืองปกติ เดินต่อได้
ไม่มีอำนาจนอกระบบเข้าแทรกแซง และยุติการชุมนุม หรือความขัดแย้งนอกสภาได้อีกด้วย