svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

ผู้มาก่อนกาล รัฐบาลเสียงข้างน้อย สักพักจะกลายเป็นเสียงข้างมาก

ผู้มาก่อนกาล "รัฐบาลเสียงข้างน้อย สักพักจะกลายเป็นเสียงข้างมาก” ยก 2 ยุคการเมืองประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต? ย้อนดูบทเรียนการเมืองไทยที่ผ่านมา

6 กันยายน 2568 เสร็จสินไปแล้วสำหรับกระบวนการ โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 ท่ามกลางการรวมเสียงพิสดาร จากพรรคภูมิใจไทยและกลุ่มพันธมิตรการเมืองตุนไว้  146 เสียง โดยมีพรรคประชาชน 143 เสียง และยังมีงูเห่าเพื่อไทยตามมา อีกทำให้ คุณอนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับเสียงท่วมท้น 311 เสียง

อย่างไรก็ตาม ด้วยเงื่อนไขของพรรคประชาชน ที่ประกาศไว้ 5 ข้อ ซึ่งหนึ่งในห้าข้อ คือ “ไม่ขอร่วมรัฐบาล“ ฉะนั้นเมื่อคุณอนุทิน ได้เป็นนายกฯ ก็จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย 146 เสียง (ในเบื้องต้น) อยู่ดี และเป็นรัฐบาลในการทำภารกิจเร่งด่วน 4 เดือนประกาศยุบสภา

ความเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย เคยมีมือกฎหมายรัฐบาล อย่างท่าน “อาจารย์วิษณุ เครืองาม” อดีตรองนายกฯ เคยกล่าวไว้ เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2566 ที่สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา เขตบางพลัด กรุงเทพฯ

การกล่าวครั้งนั้น เกิดขึ้นในช่วงที่ "ลุงตู่"  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีพรรครวมไทยสร้างชาติ สนับสนุน รวมเสียง มีโอกาสจะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้หรือไม่ นั่นคือเรื่องราวในอดีต

ตอนนั้นเอง “อาจารย์วิษณุ” ได้ให้ความเห็นเอาไว้ เราลองมาฟังความเห็นครั้งนั้นกัน เมื่อเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ครั้งนั้น “อาจารย์วิษณุ เครืองาม” ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีกระแสวิจารณ์ความเห็นของตนเองเรื่องรัฐบาลเสียงข้างน้อย อาจไม่เคารพเสียงส่วนใหญ่ว่า ไม่ใช่จู่ๆ ตนมาออกความคิดเห็น แต่สื่อมาถามตนว่าเป็นไปได้หรือไม่ จึงได้แสดงความคิดเห็นไปว่าถ้าตั้งเสียอย่าง ทำไมจะตั้งไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะตั้งเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยหรือตั้งไม่ได้ และยังบอกด้วยว่าทุกพรรคการเมืองพูดยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องการให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก

ดังนั้น โดยหลักก็ต้องเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก แต่ถ้าหากถึงเวลาแล้วมันตันขึ้นมาไม่สามารถจะตั้งเสียงข้างมากได้ ก็ต้องตั้งข้างน้อย แต่ปัญหาคือการผ่านด่านให้มีการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งนั่นหมายถึงเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่จะต้องมีเสียงมากที่สุดในสภาไม่เช่นนั้นจะเป็นรัฐบาลไม่ได้

"ผมไม่ได้เชียร์ให้ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย และไม่ได้หมายความว่าส่งสัญญาณว่าจะเป็นเสียงข้างน้อย แต่สื่อถามว่าแล้วถ้าตั้ง จะตั้งได้หรือไม่ ผมก็บอกว่าก็ต้องหาแล้วหาอีก เพราะไม่ได้กำหนดเวลาหานายกฯว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ถึงจะหานายกฯให้ได้ ตามมาตรา 270 ระบุอยู่ว่า ถ้าใช้วรรคหนึ่งไม่ได้ ก็ให้ใช้วรรคสอง ช่องทางมีอยู่เท่านั้น แต่จริงๆแล้วควรเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก จะได้ไม่ยุ่งยาก ไม่เช่นนั้นอยู่แบบเสียวสันหลังวูบวาบอยู่ตลอดเวลา บริหารราชการไม่มีสมาธิ ผมไม่ได้ส่งสัญญาณอะไรเลย พวกคุณถามผมว่าได้ไหม ผมจะตอบว่าไม่ได้ผมก็โกหก ผมก็บอกว่าได้ แต่โดยปกติมันไม่ควร หรือแม้ถ้าตั้งขึ้นมาได้ก็เป็นข้างน้อยอยู่ไม่กี่วันแล้วในที่สุดก็เป็นเสียงข้างมากไป" นายวิษณุ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีบางฝ่ายเข้าใจผิดกันไปมากว่าไม่เคารพเจตนารมณ์ นายวิษณุกล่าวว่า เวลาไปลงข่าวอาจจะเข้าใจผิด แต่เวลาตนพูดเพราะสื่อตั้งคำถามเช่นนั้น ตนไม่ได้อยู่ดีๆแล้วมาเปิดฉากว่าจะตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งตนเองก็ภาวนาให้เกิดรัฐบาลเสียงข้างมากจะได้มีความสงบราบรื่นเรียบร้อย มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน

ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลหน้าจะได้เจอกับอาจารย์วิษณุ อีกหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ขอไม่ตอบเรื่องนี้

อย่างไรก็ดี เมื่อพลิกดูตำนานการเมืองไทย ความเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย เคยเกิดขึ้นแล้ว 

 

รัฐบาลเสียงข้างน้อยภายใต้ระบบรัฐสภาประเทศไทยเคยเกิดขึ้น 2 ครั้ง ช่วงปี 2512-2518 ซึ่งนับเป็นยุคที่การเมืองไทยร้อนแรงยุคหนึ่งเลยก็ว่าได้

 

อย่างกรณี รัฐบาลจอมพล ถนอม กิติขจร ปี 2512

การเลือกตั้งทั่วไป วันที่ 10 ก.พ.2512 แข่งขันกันระหว่างพรรคใหญ่ 2 พรรค คือ พรรคสหประชาไทย มีจอมพล ถนอม กิติขจร เป็นหัวหน้าพรรค และพรรคประชาธิปัตย์ ที่มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้าพรรค การเลือกตั้งครั้งนั้นมีจำนวน สส. 219 คน พรรคสหประชาไทยได้ 74 คน พรรคประชาธิปัตย์ได้ 55 คน พรรคอื่นและผู้สมัครอิสระ 90 คน ครั้งนั้นพรรคสหประชาไทย ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยร่วมกับพรรคอื่น และให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน แต่บริหารได้เพียง 2 ปี ก็ทำรัฐประหารตัวเอง

 

รัฐบาล ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ปี 2518

การเลือกตั้งครั้งนั้นมีจำนวน สส. ทั้งหมด 269 คน พรรคประชาธิปัตย์ที่มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้าพรรค ได้ สส. 72 คน รวมกับพรรคอื่นได้ 103 คน จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ส่วนพรรคกิจสังคม ที่มี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ สส. 18 คน

ในการแถลงนโยบายของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเสียงสนับสนุน 111 คน ไม่สนับสนุน 152 คน ทำให้ต้องสละสิทธิการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้สมาชิกพรรคการเมืองส่วนใหญ่มองว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มีความสามารถและประสบการณ์เพียงพอจะเป็นนายกฯ ได้ แม้จะมีคะแนนเสียง สส. เพียง 18 คน พรรคกิจสังคมจึงเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล การบริหารงานต้องประนีประนอมกับพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค แต่ปัญหาผลประโยชน์ภายในและการเมืองภายนอก ทำให้มีการยุบสภาในวันที่ 12 ม.ค. 2519