
4 กันยายน 2568 สภากำหนดวาระประชุม โหวตนายกฯ คนใหม่ ในวันที่ 5 ก.ย.นี้ ท่ามกลางการรวมเสียงพิสดาร จากพรรคภูมิใจไทย 146 เสียง โดยมีพรรคประชาชน 143 เสียง ขันอาสาร่วมโหวตหนุน
ภายใต้เงื่อนไข พรรคประชาชนจะไม่ขอร่วมรัฐบาล ฉะนั้นเมื่อคุณอนุทิน ได้เป็นนายกฯสมใจ ก็จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย 146 เสียง ทำภารกิจเร่งด่วน 4 เดือนประกาศยุบสภา
ความเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย เคยมีมือกฎหมายรัฐบาล อย่างท่านอาจารย์วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกฯ เคยกล่าวไว้ เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2566 ที่สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา เขตบางพลัด กรุงเทพฯ
อาจารย์วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกฯ
การกล่าวครั้งนั้น เกิดขึ้นในช่วงที่ ลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ โดยมีพรรครวมไทยสร้างชาติ สนับสนุน รวมเสียง มีโอกาสจะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้หรือไม่ นั่นคือเรื่องราวในอดีต
ตอนนั้นเองอาจารย์วิษณุ ได้ให้ความเห็น ลองมาฟังความเห็นครั้งนั้นกัน เมื่อเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ครั้งนั้น อาจารย์วิษณุ เครืองาม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีกระแสวิจารณ์ความเห็นของตนเองเรื่องรัฐบาลเสียงข้างน้อย อาจไม่เคารพเสียงส่วนใหญ่ ว่า ไม่ใช่จู่ๆตนมาออกความคิดเห็น แต่สื่อมาถามตนว่าเป็นไปได้หรือไม่ จึงได้แสดงความคิดเห็นไปว่า ถ้าตั้งเสียอย่างทำไมจะตั้งไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะตั้งเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยหรือตั้งไม่ได้ และยังบอกด้วยว่าทุกพรรคการเมืองพูดยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องการให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก
ดังนั้นโดยหลักก็ต้องเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก แต่ถ้าหากถึงเวลาแล้วมันตันขึ้นมาไม่สามารถจะตั้งเสียงข้างมากได้ก็ต้องตั้งข้างน้อย แต่ปัญหาคือการผ่านด่านให้มีการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งนั่นหมายถึงเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่จะต้องมีเสียงมากที่สุดในสภาไม่เช่นนั้นจะเป็นรัฐบาลไม่ได้
"ผมไม่ได้เชียร์ให้ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย และไม่ได้หมายความว่าส่งสัญญาณว่าจะเป็นเสียงข้างน้อย แต่สื่อถามว่า แล้วถ้าตั้ง จะตั้งได้หรือไม่ ผมก็บอกว่าก็ต้องหาแล้วหาอีก เพราะไม่ได้กำหนดเวลาหานายกฯ ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ถึงจะหานายกฯให้ได้
ตามมาตรา 270 ระบุอยู่ว่าถ้าใช้วรรคหนึ่งไม่ได้ก็ให้ใช้วรรคสอง ช่องทางมีอยู่เท่านั้น แต่จริงๆแล้วควรเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากจะได้ไม่ยุ่งยาก ไม่เช่นนั้นอยู่แบบเสียวสันหลังวูบวาบอยู่ตลอดเวลา บริหารราชการไม่มีสมาธิ
ผมไม่ได้ส่งสัญญาณอะไรเลย พวกคุณถามผมว่าได้ไหม ผมจะตอบว่าไม่ได้ผมก็โกหก ผมก็บอกว่าได้ แต่โดยปกติมันไม่ควร หรือแม้ถ้าตั้งขึ้นมาได้ก็เป็นข้างน้อยอยู่ไม่กี่วันแล้วในที่สุดก็เป็นเสียงข้างมากไป" นายวิษณุ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีบางฝ่ายเข้าใจผิดกันไปมากว่าไม่เคารพเจตนารมณ์
นายวิษณุ กล่าวว่า เวลาไปลงข่าวอาจจะเข้าใจผิดแต่เวลาตนพูดเพราะสื่อตั้งคำถามเช่นนั้น ตนไม่ได้อยู่ดีๆแล้วมาเปิดฉากว่าจะตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งตนเองก็ภาวนาให้เกิดรัฐบาลเสียงข้างมากจะได้มีความสงบราบรื่นเรียบร้อย มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลหน้าจะได้เจอกับอาจารย์วิษณุอีกหรือไม่
นายวิษณุ กล่าวว่า ขอไม่ตอบเรื่องนี้
อย่างไรก็ดี เมื่อพลิกดูตำนานการเมืองไทย ความเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย เคยเกิดขึ้น
รัฐบาลเสียงข้างน้อยภายใต้ระบบรัฐสภาประเทศไทยเคยเกิดขึ้น 2 ครั้ง ช่วงปี 2512-2518 ซึ่งนับเป็นยุคที่การเมืองไทยร้อนแรงยุคหนึ่งเลยก็ว่าได้
อย่างกรณี รัฐบาลจอมพล ถนอม กิติขจร ปี 2512
การเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 10 ก.พ. 2512 แข่งขันกันระหว่างพรรคใหญ่ 2 พรรค คือ พรรคสหประชาไทย มีจอมพล ถนอม กิติขจร เป็นหัวหน้าพรรค และพรรคประชาธิปัตย์ที่มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้าพรรค การเลือกตั้งครั้งนั้นมีจำนวน สส. 219 คน พรรคสหประชาไทยได้ 74 คน พรรคประชาธิปัตย์ได้ 55 คน พรรคอื่นและผู้สมัครอิสระ 90 คน ครั้งนั้นพรรคสหประชาไทยตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยร่วมกับพรรคอื่น และให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน แต่บริหารได้เพียง 2 ปี ก็ทำรัฐประหารตัวเอง
รัฐบาล ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ปี 2518
การเลือกตั้งครั้งนั้นมีจำนวน สส. ทั้งหมด 269 คน พรรคประชาธิปัตย์ที่มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้าพรรค ได้ สส. 72 คน รวมกับพรรคอื่นได้ 103 คน จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ส่วนพรรคกิจสังคมที่มี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ สส. 18 คน
ในการแถลงนโยบายของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเสียงสนับสนุน 111 คน ไม่สนับสนุน 152 คน ทำให้ต้องสละสิทธิการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้สมาชิกพรรคการเมืองส่วนใหญ่มองว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มีความสามารถและประสบการณ์เพียงพอจะเป็นนายกฯได้
แม้จะมีคะแนนเสียง สส. เพียง 18 คน พรรคกิจสังคมจึงเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล การบริหารงานต้องประนีประนอมกับพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค แต่ปัญหาผลประโยชน์ภายในและการเมืองภายนอก ทำให้มีการยุบสภาในวันที่ 12 ม.ค. 2519