
30 สิงหาคม 2568 นายวัส ติงสมิตร อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฏีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้ความเห็นภายหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ให้นายกฯแพทองธาร พ้นจากตำแหน่ง โดยตั้งข้อสังเกต เสียงข้างมาก 6 เสียง ที่แตกความเห็น เป็น 4+2 ต่อมุมมอง “แพทองธาร” มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์หรือไม่
โดยระบุว่า ในที่สุด วันแห่งประวัติศาสตร์การเมืองไทย คือวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ก็เดินทางมาถึง หลังจากนี้อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะผ่านพ้นไป อีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า ผู้คนในสังคมไทยก็ค่อยๆ ลืมเลือนวันนี้ไป คงเหลือไว้แต่ความดีและความชั่วให้ผู้คนได้จดจำ
ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยด้วยมติ 6:3 ว่า นายกฯแพทองธาร เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี คือ วันที่ 1 กรกฎาคม 2568
รัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ แต่ต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ เว้นแต่นายกฯแพทองธาร จะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้ (ต้องห้ามตามาตรา 168 (1) ตอนท้าย)
"เมื่อแพทองธารมีประโยชน์ส่วนตน คือคะแนนนิยมและเสถียรภาพของรัฐบาลเข้ามาเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ แพทองธาร กลับไม่คำนึงถึงและยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง"
การกระทำดังกล่าวเป็นการลดทอนหรือทำให้เสียหายซึ่งเกียรติภูมิและเกียรติของนายกรัฐมนตรีและประเทศไทย ทำให้ประชาชนขาดความภาคภูมิใจและความไว้วางใจในนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้นำของประเทศ มีลักษณะเป็นการไม่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ และถือเอาประโยชน์ส่วนตัวเหนือกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า แพทองธารฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหลายข้อ เช่น ข้อ 6 (ไม่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ) ข้อ 7 (ถือเอาประโยชน์ส่วนตัวเหนือกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ) และข้อ 8 (ไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต)
เมื่อวินิจฉัยเช่นนี้ จึงต้องถือว่า แพทองธาร ขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) อยู่ในตัว จะกลายเป็นฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามมาตรา 160 (5) อย่างเดียว โดยไม่ขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ตามความเห็นของตุลาการ 2 เสียง ได้อย่างไร