
21 สิงหาคม 2568 ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับวาระร้อนการเมือง ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าไต่สวนพยานบุคคล ในคำร้องสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 36 คน นำโดย พลเอกสวัสดิ์ ทัศนา สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะผู้ร้อง ที่ยื่นคำร้องผ่านประธานวุฒิสภา ขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า น.ส.แพทองธาร ในฐานะผู้ถูกร้อง "ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง" หลังปรากฏคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับอดีตนายกรัฐมนตรี ฮุนเซน
สิ่งที่ประชาชนอยากรู้คือ กว่าชั่วโมงครึ่งที่ น.ส.แพทองธาร ให้การต่อศาลรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอย่างไร เพราะการเข้าไต่สวนครั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญไม่อนุญาตให้นำข้อความการไต่สวนพยานทั้ง 2 บุคคลไปเผยแพร่ และไม่อนุญาตให้มีการถ่ายทอดภาพ และเสียงการไต่สวน เนื่องจาก เป็นการไต่สวนพยาน 2 ปาก หรือพยานคู่ และมีรายละเอียดเป็นความลับ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ จึงไม่ให้มีการเผยแพร่ และห้ามไม่ให้มีการบิดเบือนข้อเท็จจริง หรือข้อกฎหมาย ในลักษณะที่สร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณะชน
ดังนั้นสิ่งที่ถูกนำมาเผยแพร่ เกี่ยวกับการให้ถ้อยคำของ "นายกอิ๊งค์" จึงเป็นเพียงคำบอกเล่าของผู้ที่เข้าฟังการไต่สวนเท่านั้น
- การยกเลิกประชุม สมช. หลังคุยโทรศัพท์กับ สมเด็จฮุน เซน
- มีลายเซ็นในระเบียบวาระการประชุม สมช. ให้ยกเลิก /งดประชุม => เหตุผลคืออะไร?
- ประเด็นข้อกฎหมาย มีหลายประเด็นที่ซักนายกฯ และเจ้าตัวพยายามชี้แจง
- มีคำกล่าวแนวๆ “บกพร่องโดยด้อยประสบการณ์”
หวนนึกถึงคดีใครในอดีต อ้าง “บกพร่องโดยสุจริต”
ทั้งนี้สำหรับคำร้องของ สว.ที่ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ไต่สวน น.ส.แพทองธาร คือ
- ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ (รธน. 160 (4))
- มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง (รธน. 160 (5))
ประเด็น ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ โดยก่อนหน้านี้ ทั้งทีมกฎหมาย ตัวนายกแพทองธาร และ แกนนำรัฐบาล เคยชี้แจงเป็นเสียงเดียวคือ
- การคุยโทรศัพท์กับ สมเด็จ ฮุน เซน เป็นการกระทำในฐานะส่วนตัว ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี
- ไม่ได้เตรียมการมาก่อน เพราะเป็นแผนของ สมเด็จฮุน เซน จึงขาดเจตนา
- ผลที่ตามมา ไม่ได้เป็นไปตามที่พูดคุย (ไม่ได้ปฏิบัติตามคำขอของ สมเด็จฮุน เซน)
- ไทยผ่านวิกฤตกัมพูชามาได้แล้ว
ทั้งนี้ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ได้วิเคราะห์เกี่ยวกับปมคลิปเสียงฮุนเซนของ น.ส.แพทองธาร ว่า
- หลังคุยโทรศัพท์กับ สมเด็จฮุน เซน นายกฯ สั่งงดประชุม สมช.คณะใหญ่ในวันทำการถัดมา
- ไปประชุมทีมความมั่นคงที่บ้านพิษณุโลกแทน
**เหตุผลส่วนนี้ ถ้าฟังขึ้นก็รอด ถ้าฟังไม่ขึ้ัน ก็ร่วง
**เป็นสาเหตุที่ศาลเรียกเลขาธิการ สมช.เข้าไต่สวนด้วย
ขณะที่ นายศักดา นพสิทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย วิเคราะห์สิ่งที่ น.ส.แพทองธาร ทำว่า
- หลักเจตนา => เป้าหมายที่แท้จริงคือยุติความรุนแรงไม่ให้กำลังพล และประชาชนได้รับอันตราย + เล็งเห็นผลให้ยุติความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ + เป็นการพูดคุยส่วนตัว ไม่ใช่ทางการ
- ข้อเท็จจริง => สถานการณ์ไทย-กัมพูชา มีความตึงเครียด และมีแนวโน้มบานปลาย + การเจรจามีหลายขั้น หลายระดับ + ผลลัพธ์การเจรจาเป็นข้อดี หากยุติสงครามได้ + ความสัมพันธ์กับ สมเด็จฮุนเซน มีจริง และใช้ประโยชน์จากช่องทางนี้ แต่ไม่ใช่การยอมปฏิบัติตาม
- ข้อกฎหมาย => คลิปที่นำมาเผยแพร่ เป็นคลิปคล้ายๆ ดักฟัง เป็นเจตนาร้ายของ สมเด็จฮุนเซน ศาลจึงน่าจะรับฟังอย่างระมัดระวัง + ไม่ใช่การคบคิดต่อสายคุย + ประมวลหรือมาตรฐานทางจริยธรรม มีความเข้มข้นต่ำกว่ากฎหมาย
สำหรับคำร้องว่าด้วยฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม ประเด็นสำคัญอยู่ที่ข้อ 6
“ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน”
นัยของข้อ 6 นี้ เฉพาะที่เกี่ยวกับดินแดนและความมั่นคง คือ การพิทักษ์รักษาบูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย ซึ่งตีความได้ว่าเป็น “เขตแดนเชิงกายพภาพ”
กับอีกนัยหนึ่ง คือ เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งค่อนข้างเป็นนามธรรม
แต่คำว่า “เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ” กลับเป็นหลักการสำคัญที่รัฐธรรมนูญเน้นย้ำว่า มาตรฐานทางจริยธรรมที่จะยกร่างมาใช้ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ต้องมีเรื่องนี้อยู่ด้วย
รัฐธรรมนูญ มาตรา 219 บัญญัติว่า ให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระร่วมกันกําหนดมาตรฐานทางจริยธรรม ขึ้นใช้บังคับแก่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ และเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา แล้วให้ใช้บังคับได้
ทั้งนี้ มาตรฐานทางจริยธรรมดังกล่าวต้องครอบคลุมถึงการรักษาเกียรติภูมิและผลประโยชน์ ของชาติ และต้องระบุให้ชัดแจ้งด้วยว่าการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมใดมีลักษณะ ร้ายแรง
นี่คือความสำคัญของคำว่า “เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ”
วัส ติงสมิตร อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา มองว่า...
- แม้เป็นนามธรรม แต่ตีความได้กว้างขวาง
- นำมาตรฐานจริยธรรมข้ออื่นมาพิจารณาร่วมด้วย (มีทั้งหมด 22 ข้อ)
- อยู่เหนือเรื่องเจตนา / นอกเวลาราชการ
- มีน้ำหนักมากที่จะทำให้ศาลชี้ว่าต้องพ้นจากตำแหน่ง
ขณะที่ นายศักดา นพสิทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย มองในเรื่องนี้ว่า
- เป็นนามธรรมเกินไป
- ยังไม่มีมาตรวัด
- เชื่อว่าศาลจะไม่หยิบเรื่องนามธรรมแบบนี้ และยังไม่มีบรรทัดฐานชีั้ชัดมาเป็นจุดชี้ขาด
- ผลโพลที่คนไม่เชื่อมั่นนายกฯ คะแนนนิยมรัฐบาลตกต่ำ ก็ยังไม่มีน้ำหนักมาก