
20 สิงหาคม 2568 ปมร้อนไทยกัมพูชา ที่ล่าสุดมีการพบมือถือปริศนาที่คาดว่า เป็นของทหารกัมพูชาตกอยู่บริเวณภูมะเขือ ซึ่งภายในพบคลิปสอนวางทุ่นระเบิด กรณีดังกล่าวถือว่า ไทยได้เปรียบ แต่คำถามที่ตามมาคือ การจับโป๊ะ จับผิด จับโกหก ยังเป็นแค่กิจกรรมภายในประเทศ และสะใจกันเองหรือไม่ เราจะขยายผลความจริงนี้ ไปในเวทีต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร เพราะการร้องไปที่สำนักงานอนุสัญญาออตตาวา ก็เป็นการดำเนินการในฐานะ “คู่ขัดแย้ง” กับกัมพูชา
ฉะนั้นยังมีโจทย์ทั้งงานการต่างประเทศ และงานสงครามข่าวสาร ที่ต้องปฏิบัติการอย่างเป็นระบบ
- เฟกนิวส์ต่างๆ หรือมุกจัดฉาก อาจได้ผลในระยะหนึ่ง แต่ระยะยาวจะลดน้ำหนักลง เพราะไทยมีหลักฐานยืนยันตอบโต้ได้ เขาหลอกคนกัมพูชาได้ แต่หลอกชาวโลกไม่ได้
- กัมพูชาลอกตำรา “ฮิตเลอร์” ทันที ตามที่เราเล่าเมื่อวาน 7 เคล็ดลับ “ฮิตเลอร์คิด ฮุนเซนทำ” กล่าวคือ ไม่ยอมรับแม้ถูกจับได้ และด้อยค่าความจริงว่าเป็นความลวง
- กัมพูชากำลังหาวิธีอื่นมาใช้เพิ่มเติม ทั้งทางไซเบอร์ และพื้นที่จริง (ออนไลน์ และออนกราวด์) ไทยต้องเร่งประเมินและวางแผนรับมือ
- เร่งยุทธศาสตร์ “ใช้โลกล้อมเขมร”
- ใช้จังหวะนี้หารือ/ขอความร่วมมือ/กดดัน “แพลตฟอร์ม” ให้ร่วมสกัดข่าวปลอม
- กลไกการตรวจสอบความจริง (Fact checking) ไม่สามารถหยุดปริมาณเฟกนิวส์ได้
- จะทำให้ได้ผลต้องได้รับความร่วมมือจาก “แพลตฟอร์ม”
- ตัวแบบสงครามรัสเซีย VS ยูเครน
บริษัท Meta ในยูเครน ร่วมมือกำจัดโพสต์ที่อาจกระตุ้นให้เกิดความรุนแรง โดยใช้ AI ในการตรวจจับคอนเทนต์ พร้อมระดมจ้างผู้ตรวจสอบคอนเทนต์ (Moderator) จำนวนมากมาร่วมตรวจสอบ
แต่ปัญหาคือ กระทบต่อรายได้ของแพลตฟอร์ม แต่รัฐบาลต้องอาศัยจังหวะนี้ กดดัน-เจรจา
“การกำจัดเฟกนิวส์ที่เกิดจากสงครามข้อมูลระหว่างไทยกับเขมรครั้งนี้ น่าจะเป็นโอกาสที่ภาครัฐควรขอความร่วมมือจากแพลตฟอร์มทั้ง Facebook YouTube หรือ TikTok ในการกลั่นกรองเฟกนิวส์เหล่านี้ให้เข้มข้น เพื่อยกระดับการกำจัดเฟคนิวส์อย่างเป็นรูปธรรมขึ้น เหมือนกับบริษัท Meta ในยูเครนที่ได้ทำมาแล้ว”
“เพราะเท่าที่ผ่านมา ยังไม่เคยได้ยินข่าวที่พูดถึงบทบาทของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และการขอความร่วมมือจากแพลตฟอร์มจากรัฐบาลไทย ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงการปะทะระหว่างไทยกับเขมร รวมทั้งยังไม่เห็นมาตรการเริ่มต้นใดๆ จากแพลตฟอร์ม ที่ควรแสดงความรับผิดชอบบ้าง ต่อข่าวปลอมมากมายที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มของตัวเอง”
ด้าน รศ.ดร.ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มองว่า
- ปัจจัยชี้ขาดที่จะกำหนดว่าไทยจะสามารถฝ่าวิกฤตเฟคนิวส์ได้หรือไม่ และหาประโยชน์จากคลิปสอนวางทุ่นระเบิดของกัมพูชา มีอยู่ 2 ประการสำคัญ ได้แก่
ประการแรก การกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ซึ่งควรครอบคลุม 4 มิติหลักดังนี้
1.การบ่อนทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลกัมพูชา โดยมุ่งทำให้สังคมกัมพูชาเกิดความสงสัยและไม่ไว้วางใจต่อความชอบธรรมของรัฐบาล ผ่านการเปิดเผยข้อมูลที่สะท้อนถึงพฤติกรรมการใช้อาวุธซึ่งขัดต่อมาตรฐานสากล
2.การลดการสนับสนุนจากพันธมิตรระหว่างประเทศ ต้องทำให้ประเทศมหาอำนาจและประเทศผู้สนับสนุนกัมพูชา ลังเลที่จะให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ การเมือง ความมั่นคง และสังคม เมื่อภาพลักษณ์ของกัมพูชาถูกผูกโยงกับการใช้อาวุธที่ผิดหลักสากล
3.การสร้างความแตกแยกภายในประเทศกัมพูชา โดยการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว สามารถกระตุ้นให้เกิดความไม่ไว้วางใจระหว่างประชาชนกับรัฐบาล รวมถึงก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนภายในชนชั้นนำของกัมพูชาเอง อันนำไปสู่ความเปราะบางทางการเมือง
4.การทำลายภาพลักษณ์เชิงสัญลักษณ์ของผู้นำกัมพูชา ต้องใช้ข้อมูลนี้เพื่อสะท้อนถึงความขาดความน่าเชื่อถือ
ประการที่สอง การตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ของฝ่ายไทย
- สถานการณ์ปัจจุบันบังคับให้ไทยจำเป็นต้องเล่นเกมเชิงรุกในเรื่องนี้ โดยใช้ข้อมูลเป็นอาวุธสำคัญ
- ต้องใช้คลิปเพื่อให้ประชาคมโลกเห็นว่า กัมพูชาละเมิดหลักสากลและใช้คลิปเพื่อสร้างแรงกดดันภายในประเทศกัมพูชา ให้ประชาชน ไม่ไว้วางใจรัฐบาลของตนเอง
- รัฐบาลต้องส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังหน่วยงานระดับปฏิบัติ จะได้ดำเนินการไปในทิศทางเดียวกัน ลดความสับสน และเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์อย่างแท้จริง
“ในโลกของความขัดแย้งระหว่างประเทศ สิ่งสำคัญไม่ใช่เพียงข้อมูลหลักฐานที่ถืออยู่ในมือ แต่คือการทำให้ผู้คนเชื่อว่าข้อมูลนั้นจริงและมีน้ำหนัก”
“การสร้างความเชื่อมั่นกับสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในปรเทศไทย จึงเป็นก้าวแรกที่ไทยต้องทำ เพราะสื่อเหล่านี้จะเป็นกระบอกเสียงขยายเรื่องราวไปสู่เวทีโลก การเปิดเผยข้อมูลต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงใช้เฉพาะเวลามีปัญหา”
“ขณะเดียวกัน ไทยต้องลงทุนสร้างความสัมพันธ์กับผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ผ่านการพูดคุย การให้ข้อมูลเชิงลึก และการเปิดพื้นที่ให้สื่อทำงานได้อย่างอิสระ เมื่อสื่อเชื่อมั่นและมองไทยเป็นแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ เรื่องเล็กในชายแดนก็จะถูกเล่าเป็นประเด็นใหญ่ในระดับสากล และกลายเป็นพลังเชิงยุทธศาสตร์ที่ไทยสามารถใช้ต่อรองได้ทั้งในภูมิภาคและในเวทีโลก”