
31 กรกฎาคม 2568 พลเอก กฤษณะ บวรรัตนารักษ์ ที่ปรึกษาทรงคุณวุฒิคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร อดีตที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และอดีตรองเจ้ากรมพระธรรมนูญ เปิดเผยถึง ประเด็นที่สำคัญและน่าสนใจเกี่ยวกับ การควบคุมตัวทหารกัมพูชา 18 นาย ที่ยอมจำนน หลังการปะทะตามแนวชายแดน ว่า
ตามที่ทหารไทยได้ควบคุมตัวทหารกัมพูชารวม 18 นาย และเสียชีวิตอีก 2 ราย จากการทยอยยอมจำนนตั้งแต่ 28 ก.ค.68 เป็นต้นมาจนถึงขณะนี้หลังการปะทะตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา
สืบเนื่องจากฝ่ายทหารกัมพูชาเริ่มใช้อาวุธยิงมาในดินแดนไทยก่อนซึ่งถือว่าเป็นการรุกรานตามธรรมนูญศาลอาญา ระหว่างประเทศ แล้วฝ่ายทหารไทยจำเป็นต้องใช้กำลังอาวุธตอบโต้เพื่อป้องกันตัวเองตามกฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 51 นั้น ถือว่าเป็นการขัดกันด้วยอาวุธระหว่างประเทศที่เป็นการรบ ยังไม่ถึงระดับการทำสงคราม
แต่ก็อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (กฎหมายว่าด้วยการขัดกันด้วยอาวุธหรือกฎหมายสงคราม) ซึ่งสามารถสรุปสถานะของทหารกัมพูชาที่ถูกควบคุมตัว และมีประเด็นที่เกี่ยวข้องที่สำคัญและน่าสนใจภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายในประเทศ ดังนี้
1. กฎหมายระหว่างประเทศ ทหารกัมพูชาที่ถูกควบคุมตัวมีสถานะเป็นเชลยศึกตาม ความหมายที่กำหนดไว้ในข้อ (4) แห่งอนุสัญญาเจนีวาเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อเชลยศึก ลง 12 ส.ค.92 กล่าวคือ เป็นผู้สังกัดในกองทัพของภาคีคู่พิพาท ซึ่งได้รับการคุ้มครองปกป้องภายใต้อนุสัญญาและ อนุสัญญานี้จะใช้แก่บุคคลเหล่านี้ตั้งแต่เวลาที่ตกอยู่ในอำนาจของอีกฝ่าย จนกระทั่งในที่สุดได้รับการปล่อยตัวตามที่กำหนดในข้อ (5) อนุสัญญานี้ทั้งประเทศไทยและประเทศกัมพูชาเป็นภาคี
ปัจจุบันอนุสัญญาฉบับนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นกฎหมายจารีตประเพณีที่มีผลใช้บังคับกับทุกประเทศแม้จะไม่ได้เป็นภาคีก็ตาม อนุสัญญานี้กำหนดชัดเจนว่ามีผลใช้บังคับทั้งที่มีการประกาศ
สงครามและในสภาวะการขัดกันด้วยอาวุธ (การรบ) และกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการดูแลเชลยศึกระหว่างถูกควบคุมตัว เชลยศึกต้องได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรมตลอดเวลา เช่น 1) การกระทำหรือการละเว้นใดๆ ที่ผิดกฎหมายโดยประเทศผู้กักขังซึ่งก่อให้เกิดการเสียชีวิตหรือเป็นอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพเป็นสิ่งต้องห้าม
2) จะต้องไม่ถูกทำร้ายร่างกายหรือถูกทดลองทางการแพทย์หรือทางวิทยาศาสตร์ใดๆ
3) ต้องได้รับการคุ้มครองตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการกระทำรุนแรงหรือการข่มขู่ และจากการดูหมิ่นและความอยากรู้อยากเห็นของสาธารณะ
4) การซักถามเชลยศึกทุกคนจะต้องให้ข้อมูลเฉพาะนามสกุล ชื่อและยศ วันเกิด และหมายเลขกองทัพ กรมทหาร หมายเลขประจำตัวหรือหมายเลขลำดับ หรือหากไม่มีข้อมูลดังกล่าว ก็ให้แจ้งข้อมูลที่เทียบเท่า ห้ามมิให้มีการทรมานทางร่างกายหรือจิตใจ หรือการบังคับขู่เข็ญในรูปแบบใดๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น เชลยศึกที่ปฏิเสธที่จะตอบคำถามจะต้องไม่ถูกข่มขู่ ดูหมิ่น หรือถูกปฏิบัติอย่างไม่พึงปรารถนาใดๆ ทั้งสิ้น
5) จะต้องเคลื่อนย้ายโดยเร็วที่สุดหลังจากถูกควบคุมตัวไปยังค่ายที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ไกลจากเขตการสู้รบเพียงพอเพื่อให้ปลอดภัยจากอันตรายการรบ
6) จัดหาอาหาร น้ำดื่ม และเสื้อผ้าให้ที่เพียงพอ
7) การดูแลสุขอนามัยและทางการแพทย์ที่จำเป็นให้แก่เชลยศึก
8) จะไม่ถูกกักขังในเรือนจำ
9) มีสิทธิในการปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนา และประการสำคัญยิ่ง
10) เชลยศึกจะได้รับการปล่อยตัวกลับภูมิลำเนาประเทศตัวเองเมื่อสภาวะการขัดกันด้วยอาวุธ (การรบ) สิ้นสุดลง
11) มีสิทธิติดต่อกับครอบครัวทางไปรษณีย์ระหว่างกันเป็นต้น
ข้อสังเกตทั่วไป
1) การซักถามเชลยศึกเกี่ยวข้อมูลทางการทหารนั้นซักถามได้ แต่ห้ามทรมานทางร่างกายหรือจิตใจ หรือการบังคับขู่เข็ญในรูปแบบใดๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น หากเจ้าตัวสมัครใจให้ข้อมูลเองไม่ถือว่าละเมิดอนุสัญญา
2) การเผยแพร่รูปภาพเชลยศึกเพื่อให้เห็นว่าได้รับการดูแลที่ดีและปลอดภัยนั้น อาจเข้าข่ายละเมิดอนุสัญญาในเรื่องการคุ้มครองจากความอยากรู้อยากเห็นของสาธารณะ เหตุผลที่อนุสัญญานี้ห้าม คือ เพื่อป้องกันจากการทำให้ความอับอาย ทั้งเจ้าตัวอาจอับอายและครอบครัวในประเทศตนเองอาจอับอาย รวมทั้งอาจมีการข่มขู่คุกคามจากประเทศต้นสังกัด หรือเจ้าตัวอาจถูกปองร้ายเมื่อกลับสู่ประเทศตนเอง แม้แต่เบลอหน้าของเชลยศึกก็ไม่สมควร ประเทศที่ควบคุมตัวไม่สมควรเผยแพร่ภาพทั้งในเชิงบวก (ได้รับการดูแลอย่างดี) และเชิงลบ (การมัดมือ ถอดเสื้อ และปิดตา) ตามเหตุผลข้างต้น
3) เชลยศึกอาจได้รับการปล่อยตัวกลับประเทศตนเองก่อนสภาวะการขัดกันด้วยอาวุธ (การรบ) สิ้นสุดลงได้ในกรณีมีการแลกเปลี่ยนเชลยศึก หรือประเทศที่ควบคุมตัวต้องการจะแสดงการลดการเป็นปรปักษ์ ลดความตึงเครียด และรื้อฟื้นความสัมพันธ์ให้ดีขึ้น
4) การเรียกชื่อทหารกัมพูชาที่ถูกควบคุมตัวเป็นชื่ออื่นแทน “เชลยศึก” สมควรมีเหตุผลที่ดีเพียงพอ เพราะปรากฏชัดเจนว่าเป็นเชลยศึกตามคำนิยามภายใต้
อนุสัญญาเจนีวาซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน กรณีนี้จะต่างกับการที่รัฐบาลไทยไม่เรียกประชาชนต่างชาติที่หนีภัยการสู้รบในประเทศตนเข้ามาพักพิงในดินแดนไทยว่า “ผู้อพยพ”
โดยเรียก “ผู้หนีภัยจากการสู้รบ” หรือ “ผู้หลบหนีความไม่สงบจากการรบ” ซึ่งมีเหตุผลรองรับ กล่าวคือ ประเทศไทยไม่ได้เป็นภาคีอนุสัญญาผู้ลี้ภัย การไปเรียกว่าผู้ลี้ภัยอาจมีผลเสียหรือผลกระทบต่อประเทศไทย เพราะอาจส่งผลผูกพันโดยปริยายให้ประเทศไทยต้องปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาผู้ลี้ภัยทุกประการแม้ไม่เป็นภาคีก็ตาม เช่น การให้ที่อยู่อาศัย การให้การศึกษา การรักษาพยาบาล และการหางานให้ทำอย่างถาวรตลอดไป เป็นต้น
ซึ่งประเทศไทยไม่ได้อยู่ในสถานะทางเศรษฐกิจที่จะปฏิบัติเช่นนั้นได้ครบถ้วนอย่างถาวร แต่สามารถช่วยเหลือทางมนุษยธรรมได้ชั่วคราว ซึ่งการเรียกว่า “เชลยศึก” ยังไม่เห็นว่ามีผลเสียหรือผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างไร นอกจากนี้เป็นที่ยอมรับว่าประเทศไทยดูแลทหารกัมพูชาข้างต้นสูงกว่ามาตรฐานที่อนุสัญญากำหนด จึงไม่มีความจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการเรียกว่า “เชลยศึก” แต่อย่างใด
ข้อควรระวังที่ต้องใคร่ครวญอย่างยิ่ง การเรียกชื่ออื่นอาจส่งผลให้ไม่อาจควบคุมตัวไว้ได้จะต้องปล่อยตัวกลับประเทศตนเอง หรือผลักดันออกนอกประเทศในข้อหาเข้าเมืองผิดกฎหมาย แล้วมีโอกาสสูงมากที่จะจับอาวุธกลับมาสู้รบเป็นภยันตรายร้ายแรงต่อประเทศไทยอีก ทหารกัมพูชาข้างต้นไม่ได้เดินพลัดหลงเข้ามาในดินแดนไทยหรือตกค้างโดยบังเอิญ
แต่เป็นพลรบ (combatant) ตั้งใจเข้ามาทำการรบกับทหารไทย เห็นว่าไม่มีเหตุผลรองรับเพียงพอหากถูกควบคุมตัว (detain) ชั่วคราวแล้วปล่อยตัวหรือผลักดันกลับประเทศตนเองโดยสภาวะการขัดกันด้วยอาวุธ (การรบ) ยังไม่สิ้นสุดลงนอกจากนั้นการปล่อยตัวหรือผลักดันออกนอกประเทศข้างต้นไปทั้งหมดอาจส่งผลเสียต่อประเทศไทยบางประการที่สำคัญยิ่งต่อไป เช่น
ประเทศไทยจะไม่มีตัวเชลยศึกกัมพูชาไปแลกเปลี่ยนเชลยศึกได้หากต่อไปมีทหารไทยพลาดพลั้งถูกควบคุมตัวจากฝ่ายกัมพูชาแล้วฝ่ายนั้นถือว่าเป็นเชลยศึก
หรือฝ่ายกัมพูชาไม่ถือว่าทหารไทยที่ทำการรบแล้วถูกควบคุมตัวไว้มีความผิดข้อหาเข้าเมืองผิดกฎหมายหรือตกค้างแล้วปล่อยตัวหรือผลักดันกลับประเทศไทยแต่เป็นเชลยศึก เป็นต้น ประการสำคัญอาจทำให้ประเทศไทยถูกกล่าวหาว่าใช้คำอื่นเพื่อเลี่ยงพันธกรณีตามอนุสัญญาฯ แม้ประเทศไทยจะปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ หรือดีกว่าก็ตาม
2. กฎหมายภายใน
2.1 พระราชบัญญัติบังคับการให้เป็นไปตามอนุสัญญาเจนีวาเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อเชลยศึก ลงวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2492 พ.ศ. 2498 เป็นการตรากฎหมายภายในเพื่อรองรับอนุสัญญาเจนีวาฯ ที่ประเทศไทยเป็นภาคี ซึ่งจะกล่าวถึงคำนิยาม “เชลยศึก” การลงโทษและการลงทัณฑ์เชลยศึกที่กระทำผิด ตลอดจนการลงโทษทางอาญาแก่ผู้ที่กระทำความผิดต่อเชลยศึกได้แก่
1) การทดลองทางการแพทย์ ชีววิทยา หรือทางวิทยาศาสตร์
2) ขู่เข็ญ ดูหมิ่น หรือกระทำให้ได้รับความอัปยศ
3) ทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือบังคับเพื่อให้ได้ข้อความใดๆ หรือคุกคาม ดูหมิ่น หรือให้ได้รับผลปฏิบัติใดเป็นที่เดือดร้อนรำคาญ กรณีที่ไม่ยอมให้คำตอบจากการซักถามนอกจากนี้พระราชบัญญัติข้างต้นกล่าวถึงการให้ศาลทหารพิจารณาพิพากษาคดีอาญาเกี่ยวกับความผิดที่เชลยศึกกระทำ
2.2 ประมวลกฎหมายอาญาทหาร ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ร.ศ. ๑๓๑ (พ.ศ. 2455) เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน มาตรา 13 บัญญัติสรุปได้ว่า เชลยศึกคนใดถูกปล่อยตัวไปโดยให้คําสัตย์ไว้ว่าจะไม่กระทําการรบพุ่งต่อประเทศไทยอีกจนตลอดเวลาสงครามคราวนั้น ถ้าเสียสัตย์นั้นแล้วถูกจับตัวมาได้ต้องโทษประหารชีวิต หรือจําคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปจนถึงยี่สิบปีข้อสังเกต ถ้าจะมีการปล่อยตัวเชลยศึกหรือเรียกชื่ออื่นไปก่อนสภาวะการขัดกันด้วยอาวุธ (การรบ) จะสิ้นสุดลง สมควรดำเนินการให้เชลยศึกให้คำสัตย์ตามที่บัญญัติในมาตรา 13
โดยทำเป็นหนังสือและบันทึกภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวที่มีการให้คำสัตย์ด้วย หากผู้ใดปล่อยตัวไปโดยละเลยไม่ดำเนินการตามมาตรา 13 นี้ อาจเข้าข่ายต้องรับผิดอาญาตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหาย
2.3 นอกจากนี้มีระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย 1.) ระเบียบทหารว่าด้วยชะเลยศึก ที่ ลง ๑๔ ธ.ค.๘๓ 2.) ระเบียบทหารว่าด้วยจดหมาย ไปรษณียบัตรและไปรษณีย์วัตถุที่เกี่ยวกับชะเลยศึก ที่ ลง ๓๑ ธ.ค.๘๓ 3.) ข้อบังคับทหารว่าด้วยการใช้ตั๋วแทนเงินสำหรับชะเลยศึก ที่ ลง ๑๑ ม.ค.๘๔ และ 4.) ระเบียบทหารว่าด้วยการปฏิบัติต่อชะเลยศึกป่วยเจ็บหรือตายในสนาม ที่ ลง ๑๒ ม.ค.๘๔ ทั้งนี้ จากการตรวจสอบระเบียบทหารและข้อบังคับทหารตามข้อ 2.3 นี้ปรากฏว่ายังไม่ถูกยกเลิก ซึ่งพระราชบัญญัติบังคับการให้เป็นไปตามอนุสัญญาเจนีวาเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อเชลยศึกฯ ตามข้อ 2.1 มาตรา 3 บัญญัติ ว่า บรรดาบทกฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่น ๆ ในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้หรืออนุสัญญา หรือแย้ง หรือขัดต่อบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้หรืออนุสัญญา มิให้นำมาใช้บังคับแก่เชลยศึก
นอกจากนั้นการควบคุมตัวเชลยศึกนั้นควรให้ฝ่ายทหารทำหน้าที่ควบคุมตัว เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีการอบรมให้ความรู้กับกำลังพลทหารเกี่ยวกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศรวมทั้งอนุสัญญาเจนีวาฯ ประกอบกับได้มีการพระราชบัญญัติ ระเบียบ และข้อบังคับทหารเกี่ยวกับเชลยศึกใช้บังคับกับทหารเป็นหลัก ตลอดจนเชลยศึกอยู่ในอำนาจศาลทหาร หากมอบหมายให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นควบคุมตัวเชลยศึกแทน เช่น เจ้าหน้าที่ตำรวจ สมาชิกกองอาสารักษาดินแดนสังกัดกรมการปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เป็นต้น อาจมีปัญหาในการดูแลให้เป็นไปตามอนุสัญญาเจนีวาฯ และกฎหมาย ระเบียบ กับข้อบังคับของฝ่ายทหาร เนื่องจากอาจไม่มีความรู้ความเข้าใจดีพอมาก่อน
สรุป ทหารกัมพูชาทั้ง 21 นาย มีสถานะเป็นเชลยศึกที่ได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายในของประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยได้ยึดถือเป็นหลักในการปฏิบัติต่อทหารกัมพูชาดังกล่าว การที่เชลยศึกได้รับการดูในสภาพที่ดีภายใต้กฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับข้างต้น ไม่ได้ลำบากและถูกทารุณกรรมแต่อย่างใด ต่อไปจะปรากฏเป็นข่าวส่งผลให้ทหารกัมพูชาในการรบวางอาวุธยอมจำนนแทนที่จะจับอาวุธสู้ตาย เพราะไม่อยากเป็นเชลยศึกที่มี
สภาพความเป็นอยู่ลำบากและถูกทารุณกรรม ส่งผลให้ลดการสูญเสียชีวิตทหารของทั้งสองฝ่ายหากจะใช้เรียกชื่ออื่นแทนเชลยศึกก็ควรพิจารณาอย่างระมัดระวังถึงผลเสียหรือผลกระทบ เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นที่ทหารไทยและเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องควรมีความรู้ความเข้าใจและปฏิบัติภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายในที่เกี่ยวข้องกับเชลยศึกอย่างเคร่งครัดซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการสร้างสภาวะเอื้ออำนวยต่อการเจรจาสันติภาพ นำไปสู่การแก้ไขปัญหาข้อพิพาทระหว่างสองประเทศให้ลุล่วงด้วยดี เกิดสันติภาพอันจะส่งผลดีต่อทั้งสองประเทศซึ่งอยู่ติดกันไม่อาจย้ายหนีกันได้
หมายเหตุ ขอขอบคุณ พลตรี ปิยชาต เจริญผล นายทหารพ้นราชการ อดีตผู้อำนวยการ กองกฤษฎีกาทหารและการต่างประเทศ สำนักงานพระธรรมนูญทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ที่ค้นหาและสนับสนุนข้อมูลกฎหมายในการเขียนบทความนี้