svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

“ดร.ณัฏฐ์” ชำแหละ เหลี่ยมทุกดอก ปม"ที่ดินเขากระโดง" จับไต๋ "อธิบดีกรมที่ดิน"

"ดร.ณัฏฐ์" นักกฎหมายมหาชน ชำแหละ เหลี่ยมทุกดอก ปมที่ดินเขากระโดง "พรพจน์" อธิบดีกรมที่ดินสีน้ำเงิน ไม่ต่างจาก"ฮุนเซน"

30 กรกฎาคม 2568  สืบเนื่องจากกรมที่ดินได้ออกเอกสารแถลงการณ์ผ่านสื่อ ระบุถึงกระบวนยการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ เป็นไปตาม ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 โดยอธิบายข้อกฎหมายว่า สามารถกระทำได้เพียง 3 ช่องทาง ทำให้กระแสร้อนแรงในปมที่ดินเขากระโดงร้อนแรงขึ้นมาทันที สวนทางกับคำชี้แจงของอธิบดีกรมที่ดินต่อนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี นั้น

ล่าสุด “ดร.ณัฏฐ์” หรือ “ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม” นักกฎหมายมหาชน ได้ให้ความเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะว่า ก่อนอื่นต้องแสดงความเสียใจกับทหารกล้าทุกนายที่เสียชีวิตปกป้องอธิปไตยชายแดนไทย และประชาชนที่เสียชีวิตจากการสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชา และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บปัญหาชายแดนไทย การเจรจาหยุดยิงโดยฝ่ายการเมืองวานนี้ และฝ่ายทหารในวันนี้ จะนำไปสู่สันติภาพระหว่างดินแดน แต่ต้องระวังว่า ข้อตกลงหยุดยิง เป็นเหลี่ยมของนายฮุน เซน ฝ่ายกัมพูชา หรือไม่ เพราะเจรจาหยุดยิงตั้งแต่เที่ยงคืน แต่ยังกระหน่ำทุกดอกยันเช้า

การแถลงการณ์ของกรมที่ดิน เป็นการร้อนตัวของนายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน หรือไม่ เพราะข้อกฎหมายที่เพิกถอน 3 วิธีการตาม ป.ที่ดิน มาตรา 61 เป็นข้อกฎหมายที่ประชาชนทั่วไปย่อมรู้อยู่แล้ว ไม่จำต้องมาอธิบายขยายความประเด็นวิธีการเพิกถอน

ไม่ต่างจากสุภาษิตไทย “กินปูน ร้อนท้อง” แสดงถึง อาการพิรุธ ร้อนรนผิดสังเกต ทำให้จับไต๋ได้

ปมที่ดินเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ที่นายพรพจน์ฯ ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ตามป.ที่ดิน มาตรา 61 เป็นเหลี่ยมของนายพรพจน์ฯ อธิบดีกรมที่ดินสีน้ำเงิน หรือไม่ อย่างไร

ต้องชำแหละให้ประชาชนหูตาสว่าง จะได้รู้ทันว่า ข้อพิพาทระหว่างรัฐด้วยกัน ใครได้ประโยชน์ ใครเสียผลประโยชน์ แม้การรถไฟแห่งประเทศไทยนำคำสั่งทางปกครองที่เกิดขึ้นใหม่ไปฟ้องเพิกถอน ศาลปกครองวินิจฉัยว่า เป็นการฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามกฎหมาย ศาลปกครองมีคำสั่งไม่รับไว้พิจารณาบางข้อหา แม้การรถไฟฯจะใช้สิทธิ์อุทธรณ์คำสั่ง ในเมื่อปัญหาอำนาจฟ้อง เป็นปัญหาข้อกฎหมาย แนวโน้ม ศาลปกครองสูงสุดย่อมพิพากษายืน แนวทางช่องทางนี้ โอกาสที่การรถไฟฯ จะได้ที่ดินกลับมาและอธิบดีกรมที่ดิน เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ โอกาสย่อมน้อยหรือแทบไม่มีเลย จึงจำเป็นต้องหาช่องทางอื่น เช่น ทบทวนคำสั่งทางปกครองใหม่ โดยวิธีการตั้งคณะกรรมการมาตรวจสอบ อธิบดีกรมที่ดินว่าดำเนินการถูกต้องตามขั้นตอนทางกฎหมายหรือไม่ หากพิจารณาดูพบว่า มีช่องว่างและช่องโหว่ที่จะเอาที่ดินคืนได้โดยชอบธรรมเพราะเป็นที่ดินของหลวง มิใช่ที่ดินของเอกชน

“ดร.ณัฏฐ์”  ชำแหละ เหลี่ยมทุกดอก ปม"ที่ดินเขากระโดง" จับไต๋ "อธิบดีกรมที่ดิน"

 

ขอไล่เรียงให้ฟัง เป็นองค์ความรู้ติดอาวุธทางปัญญา ในคดีแรก ศาลปกครองกลาง ได้วินิจฉัยเป็นที่สุดว่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842 - 876/2560 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8027/2561 และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คดีหมายเลขดำที่ 111/2563 คดีหมายเลขแดงที่ 1112/2563 ได้วินิจฉัยว่า ที่ดินตามแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟแผ่นดินสายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ตอนแยกที่ย่อยศิลา ตำบลเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ กิโลเมตรที่ 375 + 650 เป็นส่วนหนึ่งของพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟต่อจากนครราชสีมา ถึงอุบลราชธานี ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน พระพุทธศักราช 2462 เมื่อกรมรถไฟแผ่นดินใช้ประโยชน์ในที่ดินโดยการก่อสร้างทางรถไฟเข้าไปลำเลียงหินที่บริเวณเขากระโดง จึงถือได้ว่าที่ดินดังกล่าว เป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย

ปัญหาว่า เฉพาะคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นที่สุดแล้ว โดยหลักจะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา เป็นที่มาของหลักนิติรัฐในระบบรัฐสภา แต่ในคดีแรกที่ การรถไฟฯยื่นฟ้องกรมที่ดิน ,อธิบดีกรมที่ดินต่อศาลปกครองกลาง ในข้อพิพาทระหว่างหน่วงงานรัฐด้วยกัน กรณีอธิบดีกรมที่ดินละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินควรในการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินเขากระโดง ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (2) แห่ง พรบ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกกครอง พ.ศ.2542

คำพิพากษาศาลฎีกาเป็นที่สุด โดยหลักคำพิพากษาจะผูกพันเฉพาะคู่ความไม่ผูกพันบุคคลภายนอก แต่ที่ดินบริเวณที่ศาลมีคำพิพากษากล่าวอ้าง มีฐานะเป็นที่ดินของรัฐใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนโดยทั่วไป หาใช่มีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีตามมาตรา 145 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

ผลทางกฎหมาย ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดว่า บริเวณเขากระโดง เป็นที่ดินของรัฐ “ตามแผนที่ระบุตามคำพิพากษา” การรถไฟไม่จำต้องไปฟ้องเพิกถอนที่ดินแต่ละแปลงและขับไล่ เพราะกระบวนการพิสูจน์ใครมีสิทธิ์ในที่ดินดีกว่า บุคคลใดกล่าวอ้าง บุคคลนั้นมีภาระการพิสูจน์

ชำแหละ เหลี่ยมดอกแรก มติคณะกรรมการและความเห็นชอบจากอธิบดีกรมที่ดิน หักคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ที่คำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้ว แม้ในคำพิพากษาของศาลฎีกาทั้งสองคดีและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะไม่ได้วินิจฉัยให้เพิกถอนที่ดินแปลงอื่นๆ นอกเหนือจากที่ปรากฎเป็นข้อพิพาทในคดีก็ตาม แต่คำพิพากษาได้วินิจฉัยอย่างชัดแจ้ง ถึงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดี (รฟท.) จึงสามารถใช้ยันกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า

“ดร.ณัฏฐ์”  ชำแหละ เหลี่ยมทุกดอก ปม"ที่ดินเขากระโดง" จับไต๋ "อธิบดีกรมที่ดิน"

อีกประการหนึ่ง ในคดีแรก ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา ให้อธิบดีกรมที่ดินปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ทั้งนี้ ให้อธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด โดยมีข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษา ให้ผู้ฟ้องคดีร่วมกับคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ทำการตรวจสอบแนวเขตที่ดินบริเวณเขากระโดง ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อหาแนวเขตที่ดินเพื่อให้คณะกรรมการสอบสวนจัดทำรายงานการสอบสวนให้แล้วเสร็จ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการที่ประมวลกฎหมายที่ดิน กฎและระเบียบที่เกี่ยวข้องกำหนดต่อไป คำพิพากษาศาลปกครองกลาง เปิดช่องให้อธิบดีกรมที่ดินใช้ดุลพินิจ ช่องทางนี้

เหลี่ยมดอกที่สอง โดยดุลพินิจที่เปิดกว้างทำให้บิดเบือนและไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยเป็นที่สุด กระบวนการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ป.ที่ดิน มาตรา 61 ถือเป็นเพียงกระบวนการเปิดช่องให้มีมติ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการที่ประมวลกฎหมายที่ดิน กฎและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ที่นายพรพจน์ฯอ้างหนักหนาว่า ทำโดยชอบด้วยกฎหมาย

เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะยกประเด็นโต้แย้ง เรื่อง “แผนที่” ต่อสู่คดีในศาลปกครองกลางกับหน่วยงานรัฐด้วยกัน ถามว่า เป็นการปกป้องผลประโยชน์ของแผ่นดินหรือไม่ เพราะออกอาการพิรุธ แถลงการณ์กรมที่ดินวิธีการเพิกถอนที่ดิน 3 ช่องทาง แม้จะไม่ได้บ่งเฉพาะที่ดินเขากระโดง แต่ประชาชนทั่วไปมองเกมออก เพื่อปกป้องตำแหน่งของตนเอง มิใช่เพื่อประโยชน์สาธารณะ

เหตุผลที่การรถไฟเพลี่ยงพล้ำ เพราะแผนที่จัดทำขึ้นใหม่ในปี พ.ศ.2539 และไม่ใช่ แผนที่ที่เกิดขึ้นใน เอกสารแนบท้ายพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินแลอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น เพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ พระพุทธศักราช 2464

อธิบายง่ายๆ คือ แผนที่ดินเปิดช่องให้เกิดมหากาพย์ที่ดินเขากระโดง เพราะเกิดจากกรมที่ดินและอธิบดีกรมที่ดิน ยกเป็นข้อต่อสู้และไม่เชื่อถือแผนที่ที่การรถไฟฯจัดทำขึ้นใหม่ แม้จะปรากฏตามแผนที่ในคำพิพากษาศาลฎีกาก็ตาม ทำให้เปิดช่อง ให้คณะกรรมการสอบสวนตาม ป.ที่ดิน มาตรา 61 ดุลพินิจสั่งยุติ ไม่เพิกถอนที่ดินตามคำพิพากษาศาลฎีกา ทั้งๆที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้ตั้งคณะกรรมการนำไปสู่การเพิกถอนที่ดิน แต่กลับสั่งยุติไม่เพิกถอน ทำให้เกิดคำสั่งทางปกครองฉบับใหม่ ที่การรถไฟฯ อุทธรณ์คำสั่งและนำไปยื่นฟ้องคดีใหม่

เทคนิคการตั้งคณะกรรมการสอบสวน ตาม ป.ที่ดิน มาตรา 61 บ่งเฉพาะคนใกล้ตัว คนในพื้นที่หรือท้องถิ่นเขากระโดง จะมีใครหน้าไหนมาเพิกถอนที่ดินของตนเอง โดยเฉพาะคณะกรรมการบางคน มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับนักการเมืองในจังหวัดบุรีรัมย์ ค่ายสีน้ำเงิน โดยใช้ช่อง โต้แย้ง“แผนที่ดิน”ระหว่าง “ฉบับใหม่” กับ “ฉบับเก่าที่ไม่มี” เป็นช่องออกและโต้แย้งแนวเขตเนื้อที่ดินประกอบ เพื่อให้ตีเนียนเพื่อมิให้ถูกจับได้ว่ารู้เห็นเป็นใจกัน

คณะกรรมการสอบสวน ตาม ป.ที่ดิน มาตรา 61 ที่ดินเขากระโดง ชุดที่นายพรพจน์ฯ ตั้งขึ้นนั้น หากพิจารณาทางกฎหมายมหาชน ย่อมขัดต่อ “หลักส่วนได้เสีย”และปรากฏชื่อคณะกรรมการบางคน ที่ว่ากันว่า เกี่ยวโยงเป็นหัวหน้ากลุ่มคนรักบุรีรัมย์ ที่เชื่อมโยงค่ายการเมืองสีน้ำเงินโดยตรง ย่อมขัดต่อหลัก “สภาพร้ายแรง”ส่งผล ให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลางและเสียไป ตาม พรบ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 มาตรา 13 ประกอบมาตรา 16

ส่วนที่ถามว่า นายศุภชัย ใจสมุทร ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรคภูมิใจไทย อ้างว่า คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 1473/2567 และ 241/2568 วินิจฉัยว่า การดำเนินการของอธิบดีกรมที่ดินไม่บกพร่องและถูกต้องแล้ว ดังนั้น การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินอีกครั้ง เป็นการก้าวล่วงคำวินิจฉัยของศาล

ดร.ณัฏฐ์ อธิบายว่า หากยึดหลักกฎหมาย ตนมึความเห็นต่าง และอธิบายให้พี่น้องประชาชนว่า นายศุภชัยฯ แม้จะโต้แย้งทางการเมืองเพื่อบลัฟฝ่ายรัฐบาล แต่กลับยกข้อกฎหมายและคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ทำให้สังคมสับสน เข้าใจคลาดเคลื่อนและไม่เป็นความจริง ข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานรัฐด้วยกันในปมที่ดินเขากระโดง มีเฉพาะในศาลปกครองกลาง ในคดีแรกเป็นที่สุด ยังไม่มีคดีใดขึ้นสู่ศาลปกครองสูงสุด เทคนิคการอ้างอิงหมายเลขคำพิพากษา เป็นคนละเรื่อง คนละคดี ไม่เกี่ยวข้องกัน ในปมที่ดินที่ดินเขากระโดง มีเฉพาะคดีแรก คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง หมายเลขดำที่ 2494/2564 หมายเลขแดงที่ 582/2566 และคดีที่สองคดีหมายเลขดำที่ 395/2568 เท่านั้น ยังไม่มีคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ทั้งตรวจอ่านคำพิพากษายังไม่ปรากฏว่ามีข้อความส่วนใด ระบุถึงการปฏิบัติหน้าที่ของอธิบดีกรมที่ดินไม่บกพร่อง

การที่ศาลปกกครองกลางมีคำพิพากษาให้อธิบดีกรมทีดินให้ดำเนินการตาม ป.ที่ดิน มาตรา 61 ย่อมหมายถึง อธิบดีกรมที่ดินละเลยปฏิบัติหน้าที่ เป็นความบกพร่องหรือไม่

แล้วนายศุภชัยฯมาอ้างว่า การดำเนินการของอธิบดีกรมที่ดินไม่บกพร่องและถูกต้องแล้ว เป็นการอ้างมั่วและเป็นความเข้าใจไปเอง ทำให้สังคมสับสน ให้พี่น้องประชาชนคิดตามว่า หากอธิบดีกรมทีดินได้ดำเนินการเพิกถอนที่ดินเขากระโดงทั้งหมด โดยใช้ช่องทางมาตรา 61 ป.ที่ดิน แล้วการรถไฟฯจะมาฟ้องคดีปกครองเพื่ออะไร ประกอบกับ ข้อพิพาทกรณีอธิบดีกรมที่ดินละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินควร ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (2) แห่ง พรบ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกกครอง พ.ศ.2542

ย่อมส่งผลให้ นายภูมิธรรมฯ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย สามารถ ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินอีกครั้งได้ เพราะเป็นการทบทวนคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะขัดต่อหลักส่วนได้เสียและคณะกรรมการชุดเขากระโดงที่นายพรพจน์แต่งตั้งมีสภาพร้ายแรงมีผลต่อการพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลาง ทำให้มติคณะกรรมการสอบสวนและความเห็นของนายพรพจน์ฯย่อมเสียไป บังคับไม่ได้

หากนายภูมิธรรมฯได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบย่อมเป็นการดี เพราะช่วยกันติดตามที่ดินหลวง ให้กลับมาเป็นของแผ่นดินที่ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่เป็นการก้าวล่วงคำวินิจฉัยของศาลส่วนหนึ่งส่วนใด เพราะที่นายศุภชัยฯยกขึ้นกล่าวอ้างเป็นคนละเรื่อง ไม่เกี่ยวข้องกัน