svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

โรม ประณามกัมพูชา - แนะ กต.พาทูตลงพื้นที่ให้เห็นพฤติกรรมเขมร

“โรม” ประณาม “กัมพูชา” - ปลุก กต.ทำงานเชิงรุก! พาทูตลงพื้นที่สังเกตการณ์ให้เห็นพฤติกรรมเขมร-ใช้ทุกเวทีโลก-UNGA สื่อสารถึงผู้นำโลกให้เห็นธาตุแท้กัมพูชา

นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธาน คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวก่อนการประชุมคณะกรรมาธิการฯ ในวันนี้ (24 ก.ค.) ที่มีการเชิญรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม มาชี้แจงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยได้ประณามรัฐบาลกัมพูชา ที่มีพฤติกรรมยั่วยุ ก้าวร้าว ใช้ความรุนแรง ยอมรับไม่ได้ ละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือ อนุสัญญาออตตาวา โดยใช้กับดักระเบิด ซึ่งเป็นอาวุธที่ไม่ควรมีการใช้อีกแล้ว และตนเชื่อว่า รัฐบาลกัมพูชา มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำเหล่านี้ และควรจะเข้าใจถึงความร้ายแรงของกับดักระเบิดมากที่สุด ที่ชาวบ้านกัมพูชาเคยได้รับความสูญเสียเป็นเวลานาน แต่กลับใช้เรื่องเหล่านี้กับฝ่ายไทย ดังนั้น ฝ่ายไทย จึงควรตอบโต้ภัยคุกคามเรื่องนี้อย่างเหมาะสมต่อไป เพราะสิ่งที่กัมพูชาทำ อีกนิดเดียวก็เป็นการก่อการร้ายแล้ว และเป็นพฤติกรรมที่แย่มาก จึงต้องประณามสิ่งที่เกิดขึ้น

นายรังสิมันต์ ยังแนะนำกระทรวงการต่างประเทศภายหลังได้เชิญคณะทูต และผู้ช่วยทูตทหารมาชี้แจงถึงสถานการณ์ และข้อเท็จจริงแล้ว ควรจะพาคณะทูตลงพื้นที่ไปสังเกตการณ์ เพราะแม้จะไม่สามารถคุยกับกัมพูชาได้ ก็ควรคุยกับโลก เพื่อให้โลกได้เห็นพฤติกรรมของกัมพูชา และทราบข้อมูลว่า กัมพูชามีความก้าวร้าว เพื่อยั่วยุให้สถานการณ์บานปลาย พร้อมเห็นว่า กระทรวงการต่างประเทศ จะต้องทำงานเชิงรุกกว่านี้ ไม่สามารถรอนำปัญหาไปหารือในที่ประชุมรัฐภาคีออตตาวา ในช่วงเดือนธันวาคมโลกได้ แต่ควรนำประเด็นเหล่านี้ ไปหารือในเวทีสมัชชาสหประชาชาติ หรือ UNGA ซึ่งเป็นเวทีสำคัญของสหประชาชาติ เพื่อให้ทั่วโลก และผู้นำโลกเห็นพฤติกรรมกัมพูชา ที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ พร้อมเห็นว่า หากกระทรวงการต่างประเทศ ทำหน้าที่ได้ดี ก็จะช่วยลดโอกาสความขัดแย้งให้ลงมาได้ 

ส่วนที่ผ่านมากัมพูชาพยายามยั่วยุตลอดนั้น นายรังสิมันต์ เห็นว่า คงเป็นไปไม่ได้ที่ไทยจะไม่ตอบโต้ เพราะกัมพูชา ต้องการพาไทยไปสู่ศาลโลก แต่เมื่อสถานการณ์มีทหารไทยได้รับบาดเจ็บ ไทยคงต้องตอบโต้ต่อไป แต่ก็ต้องยืนยันต่อโลกว่า ไทยไม่ได้รังแกกัมพูชา และไทยไม่ได้ต้องการความขัดแย้ง แต่กัมพูชาก้าวร้าว มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ต้องการความขัดแย้ง ดังนั้น การสื่อสารของไทยต่อนานาชาติ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ และกระทรวงการต่างประเทศ ต้องทำงานให้กระตือรือร้นกว่านี้ และใช้ทุกโอกาส ทุกเวที เพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างประเทศ

ส่วนการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของกัมพูชา จะยังเป็นยาแรงได้หรือไม่นั้น นายรังสิมันต์ เห็นว่า จะต้องอาศัยหลายปัจจัย เพราะไม่มียาตัวใดหยุดความบ้าคลั่งของกัมพูชาได้ โดยเฉพาะฮุนเซ็นที่อายุเยอะแล้ว และคิดว่า การใช้วิธีนี้ จะสามารถนำไปโฆษณาชวนเชื่อได้ว่า สามารถเอาชนะประเทศไทยได้ โดยพยายามทำทุกทางโดยไม่คำนึงความสูญเสีย ดังนั้น เมื่อฝ่ายไทยรู้สถานการณ์ จึงควรทำให้ทั่วโลกเข้าใจพฤติกรรมกัมพูชา เพื่อแสวงหาพันธมิตร และรัฐบาลไทย ควรจะต้องมองภาพรวมสถานการณ์ ไม่ทำให้กัมพูชาได้ในสิ่งที่ต้องการ และต้องรักษาศักดิ์ศรีประเทศ ตอบโต้กัมพูชาอย่างเหมาะสม และกัมพูชาต้องรับผิดชอบต่อการกระทำที่ได้ก่อไว้ 

นายรังสิมันต์ ยังกังวลถึงประชาชนตามแนวชายแดน ที่รัฐบาลควรเตรียมความพร้อม เพราะยังไม่ทราบว่า สถานจะเลวร้ายนานเพียงใด จึงต้องเตรียมพร้อมทุกความเป็นไปได้ เพื่อไม่ให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง หรือกลุ่มผู้ป่วย ที่ควรได้รับความปลอดภัย 

นายรังสิมันต์ ยังย้ำถึงการประชุมกรรมาธิการฯ ในวันนี้ (24 ก.ค.) ว่า ได้มีการเชิญรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม มาชี้แจงโดยใช้อำนาจเรียก ซึ่งบางส่วนอาจมีความเกี่ยวข้อง และติดภารกิจ เช่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งกรรมาธิการฯ เข้าใจได้ แต่บางคนอาจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง ก็จะต้องรอฟังชี้แจง และยังต้องยอมรับว่า ปัญหาคลิปเสียงนั้น ทำให้ระดับรัฐบาลคุยกันไม่ได้แล้ว และไม่ทราบว่า 2 ผู้นำ จะมีปัญหาเรื่องส่วนตัวหรือไม่ไม่ทราบ แต่ได้นำไปสู่การทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้น ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบ และสถานการณ์ก็ดูเลวร้าย จนไม่อาจหาทางออกได้ บุคลเหล่านั้น ก็ควรรับผิดชอบ และนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุติปฏิบัติหน้านี้ ชี้แจงต่อกรรมาธิการฯ