
19 กรกฎาคม 2568 การก้าวเข้าสู่สังคมดิจิทัลได้นำพา “การพนัน” ไปสู่อีกระดับ ไม่ใช่เพียงเกมวงในบ่อนหรือหวยใต้ดินอีกต่อไป แต่กลายเป็น “เครือข่ายการพนันออนไลน์” ซึ่งสามารถเข้าถึงใครก็ได้ ทุกที่ ทุกเวลา การพนันจึงแพร่หลายอย่างรวดเร็วและข้ามพรมแดนได้อย่างเสรี ไม่ว่าจะเป็นเกมบาคาร่า คาสิโนสด สล็อต หรือพนันกีฬา ผ่านโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์
ประเทศไทยยังใช้ พ.ร.บ. การพนัน พ.ศ. 2478 ซึ่งล้าหลัง ไม่ครอบคลุมการพนันออนไลน์ และการบังคับใช้ยังอ่อนแรง ขณะที่รัฐพยายามสั่งปิดเว็บไซต์พนัน เช่น เมื่อปี 2562 มีการสั่งปิด 748 เว็บไซต์ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
ในระดับสากล กฎหมายการพนันออนไลน์มีทั้งแนว ห้ามเด็ดขาด (เช่น ซาอุดิอาระเบีย) และ อนุญาตและควบคุม(เช่น อังกฤษ อิตาลี สวีเดน) บางประเทศออกใบอนุญาตหลายราย บางประเทศผูกขาด บางแห่งรัฐดำเนินเอง เพื่อสร้างมาตรฐาน ป้องกันปัญหา และเก็บภาษีได้อย่างเป็นระบบ
จากการสำรวจของศูนย์ศึกษาฯ ประจำปี 2564 พบว่า
การพนันได้สร้างปัญหาสุขภาพจิต ปากเสียงในครอบครัว หนี้สิน และรายได้ลดลง ผู้ที่ประเมินตนว่าเป็นนักพนันมีปัญหา (PGSI) อยู่ถึง 3.5 ล้านคน โดยเฉพาะระดับเด็ก เยาวชน และผู้สูงวัย
การบ่งชี้ชัดว่า “การพนันมากขึ้น = ปัญหามากขึ้น” เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แนวคิดการจัดตั้ง “Entertainment Complex” ไม่ได้มีแค่เป้าหมายสร้างสถานบันเทิงและแก้ปัญหาการพนันใต้ดิน หากแต่เป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์เพื่อยกระดับเศรษฐกิจท่องเที่ยวและบริการของไทยให้สามารถแข่งขันกับศูนย์กลางบันเทิงระดับโลก เช่น สิงคโปร์ มาเก๊า หรือดูไบ
รัฐบาลไทยเสนอกรอบแนวทางที่ชัดเจน โดยให้กิจการที่ได้รับใบอนุญาตต้องมีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท และให้สิทธิประกอบการยาวนานถึง 30 ปี (ต่ออายุได้ทุก 10 ปี) โดยคาสิโนจะเป็นเพียง “หนึ่งในองค์ประกอบ” ของคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ที่รวมทั้งโรงแรม ศูนย์ประชุม ห้างสรรพสินค้า ธนาคาร สนามกีฬา และสวนสนุกไว้ในพื้นที่เดียวกัน
และจากผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนในปี 2568 พบว่ากว่า 80% ของผู้เข้าร่วม (จาก 71,000 คน) เห็นด้วยกับการจัดตั้งโครงการ ภายใต้เงื่อนไขว่ารัฐต้องมีกลไกควบคุม ป้องกันผลกระทบทางสังคมอย่างจริงจัง
แม้จะมีแรงหนุนจากภาคเศรษฐกิจ แต่ความท้าทายที่แท้จริงของโครงการนี้คือ “ความเชื่อมั่นของสาธารณชน” โดยเฉพาะต่อคำถามใหญ่ 3 ข้อ คือ
แม้รัฐบาลจะพยายามผลักดันร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจรเข้าสู่การพิจารณาของสภาในช่วงต้นปี 2568 แต่สถานการณ์ก็พลิกผันอย่างไม่คาดคิด
ในเดือนกรกฎาคม 2568 คณะรัฐมนตรีตัดสินใจ “ถอนร่างกฎหมายออกจากการพิจารณา” ท่ามกลางกระแสการเมืองที่ร้อนแรง โดยมีเหตุการณ์ฉาวเกี่ยวกับการสื่อสารของผู้นำรัฐบาล และกระแสต่อต้านในสังคมที่เริ่มทวีความรุนแรง รวมถึงเสียงเรียกร้องให้จัดทำ “ประชามติ” ก่อนเปิดไฟเขียว
“แม้รัฐบาลให้เหตุผลว่าเป็นเพียง “การพักการพิจารณาชั่วคราว” เพื่อรอจังหวะที่เหมาะสม แต่ก็สะท้อนความจริงว่า โครงการนี้ยังต้องการ “ความยอมรับทางสังคม” มากกว่าความพร้อมเชิงเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว”
การถอนร่างกฎหมายไม่ได้หมายความว่าความฝันของเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ได้สิ้นสุดลง เพราะทั้งภาคธุรกิจและนักลงทุนต่างชาติต่างยังจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
สิ่งที่รัฐบาลไทยหรือผู้มีอำนาจนโยบายในอนาคตควรพิจารณา คือการ “ออกแบบใหม่” ให้โครงการนี้สามารถเดินหน้าได้อย่างยั่งยืน โดยอาจต้องใช้เครื่องมือเหล่านี้ร่วมกัน : ประชามติอย่างเป็นทางการ เพื่อวัดความยินยอมของประชาชน
ประเทศที่เคยผ่านการเปลี่ยนผ่านจากการพนันผิดกฎหมายสู่ระบบควบคุมมาแล้ว เช่น สิงคโปร์ มาเก๊า ญี่ปุ่น และแม้แต่บางรัฐของสหรัฐฯ ล้วนแสดงให้เห็นว่าการออกแบบระบบนโยบายและกฎหมายที่ชัดเจน โปร่งใส และตั้งอยู่บนหลัก “ความยินยอมของประชาชน” คือเงื่อนไขแห่งความสำเร็จ
ตัวอย่างสิงคโปร์ คือโมเดลที่หลายฝ่ายในไทยให้ความสนใจ โดยใช้ระบบควบคุมแบบสองระดับ (Two-tier regulation) คือ จำกัดจำนวนคาสิโนให้มีเพียง 2 แห่ง , ควบคุมคนท้องถิ่นเข้าคาสิโนด้วยค่าธรรมเนียมสูง (100 SGD ต่อครั้ง) ,มีหน่วยงานกำกับพิเศษ (CRA) ที่แยกจากกระทรวงท่องเที่ยวหรือกระทรวงการคลัง ,กำหนดเป้าหมายให้คาสิโนเป็น “ส่วนหนึ่ง” ของโครงสร้างรีสอร์ต ไม่ใช่จุดขายหลักเพียงอย่างเดียว
“หากไทยสามารถนำบทเรียนเหล่านี้มาปรับใช้ได้ ก็อาจสามารถแปลง “ความขัดแย้ง” ให้กลายเป็น “สมดุลใหม่” ระหว่างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ กับความปลอดภัยทางสังคม”
การผลักดันให้คาสิโนถูกกฎหมายในนามของเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ คือหนึ่งในนโยบายที่สะท้อนจุดตัดสำคัญของสังคมไทยในศตวรรษที่ 21
ฝั่งหนึ่งคือแรงผลักจากความหวังที่จะเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจท่องเที่ยวไทยให้ก้าวหน้าและทันโลก
อีกฝั่งหนึ่งคือแรงต้านจากความห่วงใยต่อคุณภาพชีวิต การเสื่อมถอยทางศีลธรรม และความเปราะบางของคนตัวเล็กในระบบทุน
สุดท้ายแล้ว โครงการนี้อาจไม่ถูกตัดสินด้วยตัวเลข GDP หรือรายได้ภาษี แต่จะถูกตัดสินจาก “ความไว้วางใจ” ของประชาชนต่อระบบการเมืองและกฎหมายที่ออกแบบนโยบายนี้ขึ้นมา
หากทำได้ มันจะไม่ใช่แค่คาสิโนที่ถูกกฎหมาย แต่คือการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมที่สามารถออกแบบอนาคตได้อย่างมีวิจารณญาณและยั่งยืน
แหล่งข้อมูล: Reuters, AP, Thansettakij, Wikipedia, Nation Thailand, AGB, IMGL, Yogonet