6 กรกฎาคม 2568 จากการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 โดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กรณีการคลี่คลายความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา โดย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม รักษาการ รมว.กลาโหม เป็นผู้ตอบคำถาม
ตอนหนึ่ง นายณัฐพงษ์ พูดถึงเรื่องกองทัพได้ประสานไปยังคณะที่ปรึกษาทางการทหารสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย (จัสแมกไทย) ขอกำลังบำรุงและเครื่องกระสุนจากสหรัฐฯ เพื่อเตรียมประสิทธิภาพรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้หากมีการปะทะ ขณะที่ พล.อ.ณัฐพล ชี้แจงว่า ฝ่ายการเมืองยับยั้งคำขอของกองทัพ เพราะรัฐบาลมองเรื่องการรักษาสมดุล ถ้าดึงอีกประเทศเข้ามาอาจทำให้เกิดปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ได้
เกี่ยวกับประเด็นนี้ ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำเสนอบทความ เรื่องสภา-กระสุน-ความมั่นคง โดยวิเคราะห์ถึงข้อมูลลับทางทหารที่รั่วไหลออกมา เอาไว้อย่างน่าสนใจ ว่า
ในขณะที่ข่าวของรัฐบาลในการตั้ง “ครม. ใหม่” เป็นประเด็นใหญ่ที่สังคมให้ความสนใจอย่างมากในขณะนี้ จนดูเหมือนข่าวอื่นในทางการเมืองดูจะได้รับความสนใจน้อยลงตามไป ดังจะเห็นได้ว่า ข่าวในสภาได้รับความสนใจเพียงในเรื่องของ “สภาล่ม” มากกว่าสาระของการประชุมสภา
แต่เรื่องหนึ่งของการประชุมสภาในวันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมา มีประเด็นที่น่าสนใจอย่างมาก คือ การที่ฝ่ายค้านได้ถามถึงการติดต่อในเรื่องการส่งกำลังบำรุง และเครื่องกระสุนระหว่างกองทัพบกไทย กับหน่วยงานความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯ ในประเทศไทย คือ จัสแมก (JUSMAG)
ในการนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ตอบคำถามในสภาว่า “ฝ่ายการเมืองยับยั้งคำขอของกองทัพ เพราะรัฐบาลมองเรื่องการรักษาสมดุล กองทัพไม่สามารถดำเนินการได้ตามลำพัง ต้องทำตามนโยบายของรัฐ ถ้าดึงอีกประเทศเข้ามา อาจทำให้เกิดปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ได้”
ข้อพิจารณา - หากพิจารณาประเด็นนี้ในบริบทด้านความมั่นคง ต้องถือว่าเป็นประเด็นที่ชวนให้ต้องคิดต่ออย่างมาก เพราะสาระของเรื่องนี้เป็นปัญหาความมั่นคงโดยตรง และเป็นปัญหาความมั่นคงที่มีนัยสำคัญกับสถานการณ์ความขัดแย้งของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในปัจจุบันด้วย การถาม-ตอบในสภาจึงชวนคิดอย่างมาก
สมมุติ หากเราทดลองคิดเรื่องนี้ในกรอบของ “รัฐสภากับงานความมั่นคง” แล้ว น่าจะตั้งข้อสังเกตได้ดังนี้
ถ้าประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นปัญหาความมั่นคงในสภาครั้งนี้ อาจต้องถือว่าเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนอย่างมาก เพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกับขีดความสามารถทางทหารของกองทัพบกไทย เรื่องเช่นนี้ควรต้องพิจารณาว่า ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่มี “ชั้นความลับ” อย่างมากหรือไม่ ควรจะประชุมในวาระปกติหรือไม่
หากพิจารณาในบริบทของข้อมูลทางทหาร อาจทำให้เกิดการตีความได้ว่า ประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาในสภานั้น อาจจะกลายเป็นการบ่งบอกถึงสถานะของกองทัพไทยในปัจจุบันหรือไม่
ปกติแล้วการติดต่อในเรื่องของการส่งกำลังบำรุงและเครื่องกระสุนกับหน่วยงานทางทหารของรัฐมหาอำนาจนั้น มักจะเป็นเรื่อง “ลับที่สุด” เพราะถือเป็นเรื่องที่ข้อมูลมีความอ่อนไหว จึงไม่ใช่ข้อมูลที่พึงนำมาเปิดเผยในทางสาธารณะ
แต่อาจต้องพิจารณาถึง “วิธีการ” ของการถาม-ตอบในสภาด้วย หากในอนาคต มีการนำเอาประเด็นที่เป็นเรื่องความมั่นคงทางทหารที่เป็นเรื่อง “ลับมาก-ลับที่สุด” เข้าสู่เวทีสภานั้น ควรที่เป็นการ “ประชุมลับ” ด้วยหรือไม่ เพราะแม้จะมีเพียงคำตอบสั้นๆ ในที่สภาอย่างเปิดเผยก็ตาม
แต่คำตอบเช่นนั้นก็อาจนำไปสู่การตีความถึงสถานะด้านส่งกำลังบำรุงและเครื่องกระสุนของกองทัพบกไทยได้ด้วย การนำเอาเรื่องนี้ มาเปิดเผยในเวทีสาธารณะ อาจจะทำให้การติดต่อกับรัฐมหาอำนาจในอนาคตนั้น ถูกรัฐมหาอำนาจมองไทยด้วยความไม่วางใจ เพราะข้อมูลการติดต่อทางทหารที่เกิดขึ้นในลักษณะเช่นนี้ น่าจะถือเป็นเรื่อง “ความลับทางทหาร” ของประเทศ แต่กลับรั่วไหลและถูกนำมาเปิดเผยหรือเผยแพร่ในรัฐสภา
ในอีกมุมหนึ่ง น่าสนใจว่า การรั่วไหลของข้อมูลที่เป็น “ความลับทางทหาร” ของประเทศนั้น หลุดออกมาสู่เวทีการเมืองได้อย่างไร การกล่าวเช่นนี้ มิได้หมายความว่า เราควรสนับสนุนให้กองทัพมีความลับ ที่สังคมไม่ควรรับรู้ แต่ในทางกลับกัน ก็น่าสนใจถึงการรั่วของข้อมูลจากกองทัพบกออกมาสู่พรรคการเมือง
ประเด็นที่น่าสนใจสำหรับบทบาทของรัฐสภา ทั้งในส่วนของฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล จะดำเนินการอย่างไรกับปัญหาข้อมูลที่มีชั้นความลับในระดับสูงเช่นนี้ในการประชุมสภา
ประเด็นคำตอบของฝ่ายการเมืองในสภาเรื่องความสัมพันธ์กับรัฐมหาอำนาจนั้น อาจชวนให้สภาต้องคิดเรื่องเช่นนี้มากขึ้นเช่นกัน เพราะดังที่ทราบกันดีว่า สถานการณ์ในเวทีสากลมีความผันผวน จนบางทีทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติอาจไม่ทันตระหนักถึงความละเอียดอ่อนของข้อมูลในลักษณะเช่นนี้ แต่ความละเอียดอ่อนเช่นนี้ ก็มิได้มีนัยให้ฝ่ายบริหารจะไม่ดำเนินการอะไร และหรือไม่ตัดสินใจอะไร
ท้ายบท- การตั้งคำถามของฝ่ายค้าน และการนำเสนอคำตอบของฝ่ายบริหารเรื่องการส่งกำลังบำรุง และการขอเครื่องกระสุนของกองทัพบกในสภาในวันที่ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เป็นตัวอย่างที่ดี เป็นบทเรียนที่ชวนให้ต้องคิดต่อว่า ประเด็นเช่นนี้รัฐสภาควรดำเนินการอย่างไร เพราะเรื่องเช่นนี้น่าจะเกิดเป็นประเด็นอีกในอนาคต
นอกจากนี้ อาจต้องชวนให้กองทัพบกคิดในเรื่องของการรักษาความลับข้อมูล เช่นเดียวกับบทบาทของฝ่ายการเมืองในกระทรวงกลาโหม ที่ควรจะต้องเรียนรู้ในการจัดการตอบประเด็นในลักษณะเช่นนี้ด้วย