
สืบเนื่องจาก ป.ป.ช.มีมติรับเรื่องกรณี "โยกงบ" ธนาคารรัฐ วงเงิน 35,000 ล้านบาท ไปใส่ไว้ในงบกลางเพื่ออาจจะนำไปใช้ในโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ว่าอาจเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 144 โดยมูลเหตุของเรื่องนี้เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการรพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2568 นั้น
19 มิถุนายน 2568 ล่าสุด ดร.ณัฏฐ์ หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักฎหมายมหาชน ได้ให้ความเห็นและความรู้ทางด้านกฎหมายมหาชนเพื่อประโยชน์สาธารณะว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 144 การพิจารณางบประมาณ ห้ามไม่ให้ แก้ไขเปลี่ยนแปลงไปในทาง “เพิ่มเติม” งบ เพราะโดยหลักแล้วฝ่ายบริหารมีหน้าที่ในการจัดเก็บรายได้และจัดทำงบประมาณ หากฝ่ายนิติบัญญัติแก้ไขเปลี่ยนแปลงเพิ่มงบประมาณขึ้นมา ก็จะกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของฝ่ายบริหาร
ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักฎหมายมหาชน
ดร.ณัฏฐ์ อธิบายว่า ฝ่ายนิติบัญญัติจึงต้องอยู่ภายใต้ “หลักการห้ามฝ่ายนิติบัญญัติในการริเริ่มการจ่ายเงินแผ่นดิน” ซึ่งป้องกันไม่ให้สมาชิกรัฐสภา เข้าไปมีส่วนไม่ว่าจะในทางตรงหรือในทางอ้อมต่องบประมาณรายจ่ายประจำปี ฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่ในการพิจารณาและอนุมัติร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายที่ฝ่ายบริหารเสนอมาเท่านั้น
หากฝ่ายนิติบัญญัติจะแปรญัตติเพิ่มเติมงบประมาณจึงเป็นการแทรกแซงและสร้างภาระเพิ่มเติมให้แก่ฝ่ายบริหาร หน้าที่ของรัฐสภาจึงมีเพียงแค่ตรวจสอบว่ารายการงบประมาณใดๆ ที่ไม่คุ้มค่า หรือไม่เหมาะสม และทำการ “ปรับลด” ได้เท่านั้น เพราะไม่ได้เป็นการเพิ่มภาระให้ฝ่ายบริหารไปหารายได้มาเพิ่มเติม
เว้นแต่ 3 เรื่องที่รัฐธรรมนูญ ห้ามไม่ให้ปรับลด ได้แก่ (1) เงินส่งใช้ต้นเงินกู้ (2) ดอกเบี้ยเงินกู้ และ (3) เงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย
2 ประเภทแรก คือ เงินกู้ เมื่อมีหนี้ที่ต้องชำระ จึงปรับลดงบประมาณส่วนนี้ไม่ได้ ส่วนข้อที่ 3 เช่น พวกเงินเดือนข้าราชการ ที่กฎหมายบังคับให้ต้องจ่ายเรื่อย ๆ
ดร.ณัฏฐ์ อธิบายว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง กำหนดห้ามไม่ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) สมาชิกวุฒิสภา (สว.) หรือกรรมาธิการ (กมธ.) แปรญัตติหรือการกระทำการใดที่ทำให้สส สว. กมธ. มีส่วนในการใช้งบประมาณรายจ่ายไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม โดยเหตุที่กำหนดไว้แบบนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแปรญัตติเอางบไปลงพื้นที่ของตัวเอง เหมือนที่เคยมีในอดีต เช่น การนำงบไปลงกับการสร้างศาลาหมู่บ้าน สนามฟุตบอล สะพาน เป็นต้น
เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ แม้ในบันทึกความเห็นของคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน กรธ.นั้น จะไม่ได้อธิบายเรื่องนี้เอาไว้ แต่ในร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ที่มีนายจรัส สุวรรณมาลา เป็นประธานอนุกรรมาธิการด้านการคลัง มองว่าเรื่อง งบ ส.ส เป็นเรื่องสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแปรญัตติงบประมาณไปเอื้อประโยชน์แก่บรรดา สส. จึงต้องเพิ่มบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ให้นำเงินงบประมาณที่ สส. แปรญัตติ “ปรับลดหรือตัดทอน” ไปไว้ในงบประมาณส่วนใดส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนราชการหรือ สส. เอาไปใช้จ่ายโดยตรงไม่ได้ ส่วนจะนำไปไว้ในส่วนใดนั้น จะพิจารณากำหนดแนวทางและหลักเกณฑ์ไว้ใน พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณต่อไป
หากพิจารณาข้อร้องเรียน กรณีโยกงบประมาณที่แปรญัตติตัด-ลด ไปโปะในงบประมาณรายการอื่น(แจกเงิน 10,000 บาท) จะฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 144 นั้น จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญห้ามไว้
เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ไม่ได้มีเจตนารมณ์เช่นนั้น ถ้าตีความ “กว้าง” เท่ากับว่า โอนเงินเข้างบกลางเองก็ไม่ได้ เพราะว่ารัฐบาล ซึ่งมีสส. เป็นกมธ. ก็มี “ส่วนได้เสีย” ในงบนี้โดยตรง
กรณีที่จะถือว่ามีส่วนได้เสียโดยตรงหรือโดยทางอ้อมจะต้องเป็นกรณีเช่น สส. ที่เป็น กมธ. โอนงบประมาณที่ถูกตัดออกมาเข้าเป็นงบประมาณในพื้นที่ของตัวเอง เป็นต้น
เนื่องจากบทบาทของ กมธ. คือ ทำหน้าที่ช่วยกันตรวจสอบความถูกต้องและความคุ้มค่าของงบประมาณที่ฝ่ายบริหารเสนอเข้ามาในร่างแรก ซึ่งจะต้องพิจารณาอย่างเป็นกลางและต้องคำนึงเสนอว่า งบประมาณที่ถูกตัดออกไปนั้น เป็นงบประมาณของหน่วยงานอื่นที่ตนเห็นว่าไม่ถูกต้อง-ไม่คุ้มค่า-ไม่ใช่งบของตนเอง
เมื่อพิจารณาจากข้อกฎหมาย เจตนารมณ์ของกฎหมายและตัวอย่างข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติแล้ว อาจสรุปได้ว่า ส่วนที่ตัดลดมารัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร สามารถเอาไป “โปะ” งบรายการอื่นได้ แต่จะทำอย่างไรต้องไปดูพ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 อีกที
มาตรา 144 วรรคสาม ยังกำหนดอีกว่า หาก สส. สว. พบการกระทำที่ขัดต่อมาตรานี้ สามารถเสนอความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาได้
อีกช่องทางหนึ่ง คือ ส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช. หากป.ป.ช. สอบสวนและเห็นว่ากรณีมีมูล ให้ส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาต่อไป
หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า มีการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา 144 ให้การเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำดังกล่าวเป็นอันสิ้นผล ถ้าผู้ถูกร้องเป็น สส. สว. ก็จะสิ้นสมาชิกภาพ พ้นจากตำแหน่งไป กรณีที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้กระทำการหรืออนุมัติให้กระทำการหรือรู้ว่ามีการกระทำดังกล่าวแล้วแต่มิได้สั่งยับยั้ง ให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งด้วย เท่ากับว่าจะไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ เพราะขาดคุณสมบัติที่รัฐธรรมนูญกำหนด
ส่วนที่ถามว่า แนวโน้มว่า ปปช.วินิจฉัยชี้ขาดในทิศทางใด ดร.ณัฏฐ์ อธิบายว่า การรับคดีไต่สวน จะมีกระบวนการตั้งคณะกรรมการ ปปช.เพื่อตรวจสอบและไต่สวน โดยอาศัยอำนาจ ตาม พรป.ปปช. ประกอบระเบียบ ปปช.ว่าด้วยการตรวจสอบและไต่สวน พ.ศ.2561 แม้รัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคหก ให้อำนาจ ปปช.ไต่สวนโดยพลัน หากเห็นว่าคดีมีมูล ให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน
ในทางปฏิบัติ ปปช.ไม่ได้กำหนดกรอบเวลาในการไต่สวน ทำให้ต้องใช้เวลานานพอควร แต่เมื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม กำหนดกรอบเวลาให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับความเห็นดังกล่าว แต่ในมิติทางการเมือง หากใช้ช่องทางนี้ กลุ่มผู้ร้องมุ่งหวัง พุ่งเป้าทำลายล้างทั้งคณะรัฐมนตรีและสมาชิกรัฐสภาเกือบหมดทั้งสภาชุดนี้ จึงไม่ต่างจากการรัฐประหารเงียบ ทำให้เกิดกระแสเรียกร้องนายกรัฐมนตรีคนนอกตามมา