17 มิถุนายน 2568 สืบเนื่องจากคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ชุดที่ 26 ของ กกต.ได้ออกหมายเรียกบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่า ล็อตที่ 7 จำนวน 20 คน พบว่า มีนายเนวิน ชิดชอบ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง รองประธานสภาผู้แทนราษฎร (ซึ่งถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้คิดริเริ่มกระบวนการ) นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง เป็นต้น หากรวมตัวบุคคลที่ถูกออกหมายเรียก 7 ล็อต รวม 162 คน ได้แก่ กลุ่มแรก จำนวน 55 คน กลุ่มสอง จำนวน 10 คน กลุ่มสาม จำนวน 24 คน กลุ่มสี่ จำนวน 16 คน กลุ่มห้า จำนวน 22 คน กลุ่มหก จำนวน 15 คน และล่าสุดกลุ่ม 7 จำนวน 20 คน นั้น
ล่าสุด ดร.ณัฏฐ์ หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ได้ให้ความเห็นและความรู้ด้านกฎหมายมหาชนเพื่อประโยชน์สาธารณะ การออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหาในการฮั้ว สว. คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนใช้อำนาจตาม พรป.กกต.มาตรา 42 วรรคหนึ่ง ประกอบระเบียบ กกต.ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวนและการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ.2561 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2566 ข้อ 54 วรรคสอง โดยจัดทำบันทึกการแจ้งข้อหา โดยระบุข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานโดยสรุปจำนวนสองฉบับและส่งให้ผุ้ถูกกล่าวหาทราบหนึ่งฉบับโดยมี 4 ประเด็น ได้แก่
(1)การเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเลือก สว.ในระดับอำเภอ จังหวัด ประเทศ
(2)การจ่ายเงินสดเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือก สว.
(3)การจัดทำโพยฮั้วเลือก สว.
(4)การให้ผู้สมัครเลือก สว.ที่ผ่านระดับจังหวัดเขียนใบลาออกล่วงหน้าโดยไม่ลงวันที่ ดังนั้น การที่นางสาวบุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี โฆษกพรรคภูมิใจไทย แถลงโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ถูกกล่าวหา และข่มขู่จะดำเนินคดีกลับฐานแจ้งความเท็จนั้น หากพิจารณาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ถูกเชื่อมโยงถึงนายเนวินฯกับพวก ในล๊อตที่ 7 ควรนำพยานหลักฐานไปต่อสู้และหักล้างตามกระบวนการ ไม่ควรไปข่มขู่เจ้าหน้าที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ชุดที่ 26 ที่กระทำตามหน้าที่โดยสุจริต เพราะกรณี กกต.รับคดี สืบสวนหรือไต่สวน จากผู้ร้องและความที่ปรากฏ จะต้องมีพยานหลักฐานชัดแจ้ง คดีมีมูล ไม่มีบุคคลใดไปกลั่นแกล้ง
จะเห็นได้จากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ถูกกล่าวหา ได้ออกประกาศ พรรคภูมิใจไทย ฉบับวันที่ 30 กันยายน 2567 ที่ไม่ให้ กก.บห.พรรค ยุ่งเกี่ยวกับการเลือก สว. หนังสือป้องกันไว้ล่วงหน้าไร้ผล เปรียบดังปากตาขยิบ แต่เมื่อไต่สวนแล้วมีพยานหลักฐานเชื่อมโยงถึงนายอนุทินฯและ กก.บห.พรรคภูมิใจไทย ควรที่จะไปชี้แจงต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน
โดยเฉพาะระเบียบ กกต.ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวนและการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ.2561 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2566 ข้อ 55 หากการไต่สวนฟังได้ว่า หัวหน้าพรรคการเมือง กก.บห.พรรคการเมือง มีส่วนรู้เห็นหรือปล่อยปละละเลยหรือทราบการกระทำ แต่ไม่ยับยั้งหรือแก้ไขให้การเลือกเป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ให้ถือว่า หัวหน้าพรรคหรือ กก.บห.เป็นผู้ถูกกล่าวหาด้วย หมายเรียก ล็อตที่ 7 มีผลต่อยุบพรรคภูมิใจไทยโดยตรง
แต่เนื่องจาก ระบบคดีเลือกตั้งหรือการเลือกของ กกต.ใช้ระบบ 3 ชั้น ได้แก่ คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน คณะอนุกรรมการวินิจฉัย และที่ประชุมใหญ่ กกต. ทั้งสามชั้น คานอำนาจซึ่งกันและกัน โดยคณะอนุกรรมการวินิจฉัย และที่ประชุมใหญ่ กกต. มีอำนาจยืน ยก กลับ แก้ ความเห็นในคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนชั้นต้นได้ ทั้งนี้ หากสำนวนไม่สมบูรณ์หรือไม่ครบถ้วนอาจสั่งให้ทำการไต่สวนเพิ่มเติมได้
ดังนั้น ในเพียงชั้นนี้ สว.ผู้ถูกกล่าวหาและบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง 162 คน ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ตราบใดที่ ศาลฎีกา ยังไม่ได้วินิจฉัยว่า เป็นการกระทำทุจริตการเลือก สว.และเพิกถอนสิทธิ สว.
จะเห็นได้ว่า การควบคุมและจัดการเลือก สว. รัฐธรรมนูญให้อำนาจ กกต. มาตรา 224(2) ตามหลักที่ว่า “โดยสุจริตและเที่ยงธรรม” โดยให้อำนาจ กกต.ทั้งก่อนและหลังประกาศผล ไม่ตัดหน้าที่และอำนาจของ กกต.ที่จะดำเนินการสืบสวนไต่สวนหรือวินิจฉัยชี้ขาดกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำทุจริตในการเลือกหรือการเลือกไม่เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม
กระบวนการสืบสวนและไต่สวนคดีทุจริต สว. โดยคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ชุดที่ 26 ของ กกต. มีกฎหมายให้อำนาจตาม พรป.กกต. พรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. ประกอบระเบียบ กกต.ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวนและการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ.2561 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2566 ข้อ 92 กำหนดให้ เลขาธิการ กกต.เสนอสำนวนการสืบสวน หรือไต่สวน ให้ดำเนินการตามระเบียบนี้ต่อ กกต.โดยเร็ว ทั้งนี้ ต้องไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่ประกาศผลการเลือก สว. ในการเลือก สว.ชุดล่าสุดนี้ กกต.ประกาศผลการเลือก สว.วันที่ 10 กรกฎาคม 2567 และจะครบกำหนด 1 ปี ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2568 หากพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ไม่ทำให้สำนวนการสืบสวนหรือไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาด ของ กกต.เสียไป ไม่กระทบอำนาจฟ้องของ กกต.ต่อศาลฎีกาในการเพิกถอนสิทธิ แต่อาจเปิดช่อง ให้ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหา ยกเรื่องระยะเวลาในการวสืบสวนหรือไต่สวนเป็นข้อต่อสู้ได้
หากพลาดท่ามีพยานหลักฐานมัดแน่นนายเนวิน นายอนุทินและ กก.บห.พรรคภูมิใจไทย หาก กกต.วินิจฉัยชี้ขาดว่า มีส่วนร่วมหรือเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดฮั้ว สว. จะมีความผิดโทษทางอาญาและเพิกถอนสิทธิ ตาม พรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.บุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแยกสำนวนเป็นคดีอาญาปกติ ส่วนเมื่อเป็นการกระทำฝ่าฝืน พรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. มาตรา 77(1) ย่อมเป็นความผิดฐานฟอกเงินตามมาตรา 77 วรรคสอง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน คดีสมคบกันฟอกเงิน ซึ่ง หากนายอนุทิน ฯหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หรือ กก.บห.รู้เห็นเป็นใจในการทุจริตการเลือก สว.ย่อมมีผลต่อยุบพรรคภูมิใจไทยซึ่งเป็นนิติบุคคลตามมา