svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"มาริษ" มอบนโยบายประธาน JBC ฝ่ายไทย ยืนหยัดอธิปไตยไม่เสียดินแดน

"มาริษ" มอบนโยบายประธาน JBC ฝ่ายไทย ยืนหยัดอธิปไตยไทย-ย้ำเจรจา 2 ประเทศมีประสิทธิภาพ - หวัง ปชช. 2 ประเทศใช้พื้นที่ร่วมกันอย่างสันติยั่งยืน

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงความคืบหน้าถึงแนวทางการเจรจาของคณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ฝ่ายไทย ที่มีการประชุมในวันนี้ (11 มิ.ย.) เป็นครั้งที่ 2 ก่อนที่จะมีการประชุมร่วมกับกัมพูชาในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชาว่า ตนเชิญนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูตไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ JBC ฝ่ายไทย มาหารือ พร้อมมอบนโยบายในการเจรจา และท่าทีของไทย สำหรับการเจรจากับฝ่ายกัมพูชา โดยไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดสำหรับการเจรจา แต่ยืนยันว่า ตนได้มอบหลักการสำคัญแก่ JBC ฝ่ายไทย ทั้งการโน้มน้าวให้ฝ่ายกัมพูชา ได้ตระหนักว่า ฝ่ายไทยได้แก้ไขปัญหา และลดความตึงเครียดบริเวณพื้นที่แล้วระดับหนึ่ง ตนเองจึงอยากให้คณะ JBC ได้ขยายผล เพื่อให้บริเวณพื้นที่ ลดความตึงเครียด และประชาชนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขยั่งยืนถาวร ไม่มีการเผชิญหน้ากันอีก ซึ่งกลไกในการเจรจา 2 ฝ่าย มีหลายกลไก ทั้งคณะกรรมาธิการฯ JBC ซึ่งเป็นการเจรจาการกำหนดเขตแดน และคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา: General Border Committee หรือ GBC ซึ่งมีการเจรจาไปแล้วก่อนเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นขึ้น รวมถึงกลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา: Regional Border Committee หรือ RBC ฉะนั้น ทั้ง 3 กลไก จึงเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ตนจึงอยากให้มีการต่อยอด และขยายผลจากที่ฝ่ายกองทัพ ได้ลดความตึงเครียดลงไปแล้ว เพื่อให้พื้นที่ดังกล่าว มีความสงบ และสันติสุข ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีของทั้ง 2 ประเทศ พูดคุยกันมาโดยตลอด รวมถึงการให้การเจรจาครั้งนี้ มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในเส้นเขตแดน เพื่อให้ 2 ฝ่ายมีความเข้าใจที่ชัดเจนร่วมกัน และนำไปสู่การแก้ปัญหาเขตแดนอย่างยั่งยืน

นายมาริษ ยังเปิดเผยว่า ตนยังได้กำชับให้นายประศาสน์ ยืนหยัดในเรื่องอธิปไตยของประเทศ และจะไม่ยอมให้ประเทศไทยเสียดินแดนแม้แต่นิดเดียวโดยเด็ดขาด และยืนยันว่า ประเทศไทย มั่นใจในกลไกการเจรจาแก้ไขปัญหาระหว่างกัน ภายใต้การปฏิบัติขององค์การสหประชาชาติ และกฎหมายระหว่างประเทศ มีกลไกการแก้ไขปัญหาหลายวิธี และวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด และสหประชาชาติ มักขอให้ประเทศที่มีปัญหา ไปเจรจากัน 2 ฝ่าย หรือ ทวิภาคี เพื่อแก้ไขปัญหา ดังนั้น ประเทศไทยจะไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกโดยเด็ดขาด และจะให้การแก้ไขปัญหาระหว่างกันมาใช้กรอบการหารือทวิภาคี ที่มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมมากที่สุด 

 

นายมาริษ ยังยืนยันว่า ตั้งแต่เกิดปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมมือ และบูรณาการการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงกลาโหม กับฝ่ายกัมพูชา จึงขอยืนยันว่า ทั้งกระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศ ได้บูรณาการท่าที และใช้ท่าทีร่วมกันในการแก้ปัญหามาตั้งแต่ตั้ง ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายทหารก็สอดรับกับการทูต ทำให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และกลไกการทูตระหว่างประเทศของกระทรวงการต่างประเทศ ก็ส่งเสริมให้การเจรจาของฝ่ายทหาร บรรลุผลอย่างดี ดังนั้น จึงมั่นใจว่า ที่ผ่านมาจึงใช้กลไกการหารือทวิภาคีที่ถูกต้อง จึงสามารถลดความตึงเครียดในพื้นที่ที่มีการกระทบกระทั่งกัน จนสามารถลดการเผชิญหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป้าหมายการเจรจาครั้งนี้ จึงต้องการต่อยอดขยายผล ทำให้บริเวณที่ไม่มีความชัดเจน เป็นพื้นที่ที่ทั้ง 2 ฝ่ายสามารถทำกิจกรรมร่วมกัได้อย่างสันติ ไม่กระทบกระทั่งกัน 

นายมาริษ ยังย้ำว่า หลังการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงกลาโหมอย่างใกล้ชิดแล้ว กระทรวงการต่างประเทศ ได้ดำเนินมาตรการทางการทูตตามหลักสากลอย่างเข้มข้นที่นานาอารยประเทศปฏิบัติอย่างครบถ้วนทุกประการ ตั้งแต่จากน้อยไปหามาก ฉะนั้น จึงยืนยันว่า การดำเนินมาตรการทางการทูต สอดคล้องสากลอย่างสมบูรณ์ 

 

นายมาริษ ยังขอให้ประชาชนมั่นใจว่า กองทัพไทยมีศักยภาพ ที่จะบริหารสถานการณ์ในพื้นที่ที่มีการกระทบกระทั่งอย่างดีที่สุด เข้มข้นมากที่สุด มีการบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงกลาโหม ดังนั้น การใช้นโยบายการทูต จะมุ่งเน้นส่งเสริมมาตรการทหาร และการทูต สอดรับ มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาระหว่างประเทศ ทำให้การใช้กลไกแก้ปัญหาแบบทวิภาคีให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดร่วมกัน 

 

ส่วนท่าทีของไทยหลังกัมพูชายังคงพยายามย้ำถึงการแก้ไขปัญหา 2 ประเทศด้วยการใช้กลไกศาลโลกนั้น นายมาริษ ย้ำว่า ตนได้ย้ำมาโดยตลอดว่า การแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศ 2 ประเทศ แม้กระทั่งในกรอบกลไกสหประชาชาติ มีหลายกรอบ แต่กลไกการแก้ปัญหาแบบเจรจาทวภาคี มีประสิทธิภาพมากที่สุด จึงย้ำว่า ประเทศไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก และไม่ยอมรับตั้งแต่ปี 2503 จนถึงปัจจุบัน และยังคงย้ำกลไกการเจรจาแบบทวิภาคี 

 

ส่วนที่ผ่านมากัมพูชาที่พยายามเดินสายคุยกับต่างประเทศ ประเทศไทยได้มีการดำเนินการใด ๆ กับประเทศที่ 3 หรือไม่นั้น นายมาริษ ชี้แจงว่า กระทรวงการต่างประเทศได้มีปฏิสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ มาโดยตลอดโดยเฉพาะการชี้แจงจุดยืน และอธิบายข้อเท็จจริง ทั้งสมาชิกอาเซียน มิตรประเทศต่าง ๆ แต่การดำเนินการของไทย เป็นไปอย่างชัดเจนกับทุกประเทศ เพื่อให้ทราบจุดยืน และเข้าใจว่า การแก้ปัญหาของไทย ไทยยืนหยัดการแก้ปัญหาระหว่าง 2 ประเทศในการแก้ปัญหา ไม่ประสงค์จะให้ประเทศอื่น ๆ หรือองค์กรอื่นใดมาเป็นประเทศที่ 3 ในการแก้ปัญหา เพราะฝ่ายไทย ยังมั่นใจกลไกการเจรจาแบบ 2 ประเทศในการแก้ปัญหา  

 

นายมาริษ ยังเปิดเผยว่า ในการเจรจา JBC ไทย-กัมพูชา ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ตนได้มอบหมายให้โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ให้ข้อมูลรายละเอียด และผลลัพธ์การประชุมดังกล่าว