svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"พล.อ.กฤษณะ" แนะวิธีแก้ไข ปมพิพาทเขตแดน "ไทย – กัมพูชา" บริเวณช่องบก

"พล.อ.กฤษณะ" แนะวิธีแก้ไข ปมพิพาทเขตแดน "ไทย – กัมพูชา" ที่ช่องบก ให้คณะกรรมการร่วม ทั้งสามคณะ หาทางออกที่เหมาะสม ไม่จำเป็นต้องให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง

4 มิถุนายน 2568 พล.อ.กฤษณะ บวรรัตนารักษ์ อดีตที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และอดีตรองเจ้ากรมพระธรรมนูญ เผยข้อมูล "ข้อสังเกตทางกฎหมายเบื้องต้น กรณีพิพาทเขตแดน "ไทย – กัมพูชา" บริเวณช่องบก โดยระบุว่า

 

"พล.อ.กฤษณะ" แนะวิธีแก้ไข ปมพิพาทเขตแดน "ไทย – กัมพูชา" บริเวณช่องบก

พล.อ.กฤษณะ บวรรัตนารักษ์ อดีตที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และอดีตรองเจ้ากรมพระธรรมนูญ

 

 

 

ตามที่มีการปะทะด้วยกาลังทหารไทยและกัมพูชาบริเวณช่องบก อ.น้ายืน จ.อุบลราชธานี เมื่อ 28 พฤษภาคม 2568 สืบเนื่องจากการพิพาทเขตแดนบริเวณช่องบกนั้น มีข้อสังเกตทางกฎหมายเบื้องต้น ดังนี้

 

"พล.อ.กฤษณะ" แนะวิธีแก้ไข ปมพิพาทเขตแดน "ไทย – กัมพูชา" บริเวณช่องบก

1. สรุปหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่สาคัญกรณีการพิพาทเขตแดน : ให้ประเทศที่ขัดแย้งเรื่องเขตแดนเจรจากันโดยสันติวิธี ซึ่งที่ผ่านมาในภูมิภาคต่าง ๆ ในโลกนี้ มีหลายกรณีที่มีเรื่องพิพาทเขตแดน ซึ่งใช้ระยะเวลานานกว่าที่จะเจรจาตกลงกันได้ และมีหลายกรณีที่ยังตกลงกันไม่ได้ จึงไม่อาจคาดคะเนได้ว่าการเจรจาระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา จะสามารถหาข้อยุติอันเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้เมื่อไร

2. ช่องทางหรือกลไกที่อาจมีการนามาใช้ในการแก้ไขปัญหาพิพาทเขตแดน : ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) หรือ “ศาลโลก” ซึ่งเป็นองค์กร ในสังกัดของสหประชาชาติ ตั้งอยู่ที่ กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ ทาหน้าที่เป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด โดยประเทศคู่พิพาทขัดแย้งทุกฝ่ายจะต้องยอมรับอานาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คาพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจึงมีผลผูกพันกับประเทศคู่พิพาท สาหรับประเทศไทยนั้น คณะรัฐมนตรีได้ลงมติเมื่อ 12 มีนาคม 2567 เป็นหลักการให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ซึ่งมีใจความสาคัญสรุปได้ว่า “ไม่ให้ยอมรับอานาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในทุกเรื่อง เพื่อมิให้กระทบต่ออานาจอธิปไตยของชาติ”


3. ตามที่ปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณชน ว่า ไทยและกัมพูชาจะใช้กลไกคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (Joint Boundary Commission - JBC) คณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย – กัมพูชา (General Border Committee - GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย – กัมพูชา (Regional Border Committee – RBC) เพื่อแก้ไขกรณีพิพาทเรื่องเขตแดนนั้น ขอให้ข้อมูลทั่วไปสาหรับผู้ที่ไม่ทราบรายละเอียดกลไก การทางานของคณะกรรมการของทั้งสามคณะว่า คณะกรรมการฯ จะประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ของ ทั้งสองประเทศที่มีจานวนเท่ากันและจะทาหน้าที่เป็นประธานร่วมกัน ไม่มีการลงมติเสียงข้างมากเสียงข้างน้อย มีแต่มีมติเห็นชอบพ้องกันทั้งสองฝ่าย ดังนั้น หากมีความเข้าใจที่ถูกต้องถึงอานาจหน้าที่ของคณะกรรมาการทั้งสามคณะ ก็จะทาให้เข้าใจได้ว่าอาจตกลงกันได้หรือไม่อาจตกลงกันได้ เพราะองค์ประกอบของคณะกรรมการมากจากผู้แทนประเทศไทยและกัมพูชาเท่านั้น ไม่มีคนนอกหรือคนกลางที่มีสัญชาติอื่น (ที่มิใช่สัญชาติไทยและสัญชาติกัมพูชา) ทาหน้าที่เป็นประธานชี้ขาดประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายเห็นต่างกันแต่อย่างใด

4. ทุกครั้งที่ปรากฏว่ามีการรุกล้าเข้ามาในดินแดนราชอาณาจักรไทยโดยกองกาลังหรือประชาชนของกัมพูชา รวมทั้งการก่อสร้าง การดัดแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน และการจัดกิจกรรมที่ไม่อาจยอมรับได้หรือส่งผลเสียต่ออานาจอธิปไตยของราชอาณาจักรไทยนั้น หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจะต้องรีบแจ้งเตือนและทาการประท้วงอย่างเป็นทางการไปยังฝ่ายกัมพูชาเสมอ รวมทั้งต้องแจ้งให้รื้อสิ่งปลูกสร้างและทาให้สภาพแวดล้อมให้กลับสู่สภาพเดิม ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสารวจและจัดทาหลักเขตแดนทางบก (Memorandum of Understanding between the Government of the Kingdom of Thailand and the Kingdom of Cambodia on the Survey and Demarcation of Land Boundary) หรือที่เรียกว่า “MOU 43” ซึ่งมีการลงนาม เมื่อ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) กาหนดให้งดเว้นการดาเนินการใด ๆ ที่มีผลเป็น การเปลี่ยนแปลงสภาพสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน ตลอดจนแจ้งให้กระทรวงการต่างประเทศทราบเพื่อพิจารณาดาเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

5. ร่องรอยประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมในพื้นที่ชายแดน อาจถูกนาไปประกอบการพิจารณาในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเขตแดน จึงเป็นประเด็นสาคัญที่หน่วยงานของรัฐไม่อาจมองข้ามได้ ควรติดตามอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและจะต้องรีบแก้ไขอย่างทันท่วงที โดยจะต้องมีการจดบันทึกไว้อย่างเป็นทางการ และบางกรณีอาจต้องมีการประท้วงหรือแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องแล้วแจ้งไปยังฝ่ายกัมพูชา

6. ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐจะต้องระมัดระวังการใช้คาในการให้สัมภาษณ์ของผู้แทนหน่วยหรือแถลงการณ์ของหน่วยงานที่เกี่ยวกับกรณีพิพาทเขตแดน กล่าวคือ จะต้องใช้คาที่ถูกต้องซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ เช่น ยืนยันว่าเป็น “ดินแดนของราชอาณาจักรไทย” ไม่ใช่ “พื้นที่ทับซ้อน” เนื่องจากการให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐและแถลงการณ์ของหน่วยงานของรัฐจะมีผลผูกพันกับรัฐบาลไทยและประเทศไทย การใช้คาที่ผิดอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศโดยกรมสนธิสัญญาและกฎหมายอาจกาหนดแนวทางการใช้คาที่ถูกต้องและเหมาะสม เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยึดถือปฏิบัติให้เป็นในแนวทางเดียวกันและเป็นเอกภาพ หรือหากหน่วยงานใดของรัฐประสงค์ที่จะออกแถลงการณ์เกี่ยวกับการพิพาทเขตแดน ก็ควรส่งให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมพิจารณาด้วย

 


สรุป 

 

 

การแก้ไขปัญหาพิพาทเขตแดนไทย – กัมพูชา โดยคณะกรรมการร่วม ทั้งสามคณะ เป็นทางออกที่เหมาะสมภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง

หากฝ่ายกัมพูชาละเมิด MOU 43 หน่วยงานของรัฐจะต้องรีบดำเนินการประท้วงและแจ้งให้ฝ่ายกัมพูชากระทำการแก้ไขให้ถูกต้อง และการให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐและแถลงการณ์ของหน่วยงานของรัฐ ควรมีการปรึกษาหารือกับกระทรวงการต่างประเทศก่อน