
2 เมษายน 2568 รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช นายกสมาคมภูมิภาคศึกษา และอาจารย์ประจำสาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า สิ่งที่น่าจับตาใน การประชุมสุดยอดผู้นำบิมสเทค (BIMSTEC) ระหว่างวันที่ 2-4 เม.ย. 2568 ณ กรุงเทพมหานคร (กทม.) คือการเดินทางมาเยือนประเทศไทย อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกของ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา
ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่า เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อแสดงและเรียกร้องการยอมรับสถานะของตนเอง (Recognize) ผ่านเวทีประชาคมระหว่างประเทศ ก่อนที่เมียนมาจะเปิดให้มีการเลือกตั้งในช่วงปลายปีนี้
รศ.ดร.ดุลยภาค กล่าวว่า แม้การประชุม BIMSTEC ซึ่งมีสมาชิก 7 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย พม่า เนปาล ศรีลังกา และไทย จะมีเป้าหมายเพื่อกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ที่เชื่อมต่อกับอ่าวเบงกอล แต่สิ่งที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีควรให้ความสำคัญอย่างยิ่ง คือการเว้นระยะและท่าทีทางการทูตต่อ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย เพราะหากปรากฏภาพว่านายกรัฐมนตรีไทยไปพบปะพูดคุยกับ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ในลักษณะที่ใกล้ชิดและดูเป็นการส่วนตัว จะทำให้นานาประเทศตีความว่า นายกรัฐมนตรีไทยให้ความสำคัญและยอมรับผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาคนนี้เป็นพิเศษ
“ในการนี้ การพบปะโดยรวมร่วมกับผู้นำชาติอื่นๆ หรือการถ่ายรูปกับ มิน อ่อง หล่าย โดยแสดงความห่วงใย ต่อการจัดการภัยพิบัติในเมียนมา หรือแสดงความขอบคุณ ต่อกรณีการปล่อยลูกเรือประมงไทย เป็นสิ่งที่ควรทำ
แต่ต้องระมัดระวังไม่ควรแสดงออกถึงสนับสนุน กระบวนการเลือกตั้งในเมียนมาที่ชัดเจนจนเกินไป นอกจากนั้น หาก มิน อ่อง หล่าย มาร่วมประชุมแบบออนไลน์ ก็ถือเป็นการดีที่จะลดเรื่องฉากการพบปะที่อาจมีบางมุมที่สื่อนานาชาติ อาจตีความหรือเข้าใจได้ว่า รัฐบาลไทยอาจให้การหนุนรัฐบาลทหารเมียนมา” รศ. ดร.ดุลยภาค กล่าว
รศ. ดร.ดุลยภาค กล่าวอีกว่า หากเกิดภาพความใกล้ชิดระหว่างผู้นำ 2 ประเทศเป็นพิเศษ ข้อดีคือจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำต่อผู้นำไทย-เมียนมา มีความชื่นมื่น ทว่าในทางกลับกันปัจจุบันยังมีหลายประเทศที่วางตัวเป็นศัตรูหรือเป็นปฏิปักษ์กับกองทัพทหารเมียนมา ซึ่งก็คงไม่พอใจบทบาทของไทยแน่ เขาจะมองว่าไทยให้ท้าย พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย มากจนเกินไป
“ช่วงที่ผ่านมาได้มีจดหมายประท้วงจากองค์การระหว่างประเทศ หรือองค์กรสิทธิมนุษยชนในเมียนมา เป็นจำนวนหลายร้อยองค์กรว่าไม่อยากให้รัฐบาลไทยต้อนรับการมาเยือนของผู้นำทหารรายนี้ ฉะนั้นโจทย์ของไทยในวันนี้คือจะต้อนรับเขาอย่างไรโดยไม่ให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์มากจนเกินไป”
นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวอีกว่า โอกาสของรัฐบาลไทยจากการประชุม BIMSTEC ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ คือการเสริมสร้างภาพลักษณ์ของไทยในฐานะการเป็นผู้เชื่อมต่อความสัมพันธ์ระหว่างภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และเอเชียใต้ ผ่านการวางตัวเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขสถานการณ์ในเมียนมา และเป็นจังหวะที่เหมาะสมที่จะนำนโยบายมุ่งสู่ตะวันตก (Look West Policy) กลับมาอีกครั้ง
“ในสมัยรัฐบาลของ นายทักษิณ ชินวัตร เคยมีการวิเคราะห์ถึงการมาบรรจบกันของสองนโยบายจากสองประเทศ คือนโยบายมองไปทางตะวันออกของอินเดีย (Look East Policy) กับนโยบายมุ่งสู่ตะวันตกของไทย (Look West Policy) ซึ่งเป็นแผนการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจในต่างประเทศ ในช่วงของนายทักษิณ ที่มุ่งไปสู่การเจาะตลาดในบริเวณเอเชียใต้ผ่านประเทศเมียนมา เราจึงควรใช้โอกาสนี้ในการนำนโยบายนี้กลับมา”
รศ.ดร.ดุลยภาค กล่าวต่อไปว่า นโยบายมุ่งสู่ตะวันตกจะมาบรรจบกันได้กับนโยบายมุ่งสู่ตะวันออกของอินเดีย ที่ต้องการเจาะตลาดของไทยและอาเซียนผ่านเมียนมาเช่นกัน และตอนนี้ทางอินเดียได้มีการปรับคำศัพท์ทางนโยบายจาก Look East Policy มาเป็นนโยบายปฏิบัติการตะวันออก (Act East Policy) จากที่เคยแค่มอง มาเป็นการปฏิบัติการอย่างจริงจัง ขณะที่ประเทศไทยยังไม่มีนโยบายปฏิบัติการตะวันตก (Act West Policy) เพราะที่ผ่านมาก็มีแค่ Look West แล้วก็เงียบหายไปนานหลายปี
“มาวันนี้ จึงควรจะใช้เวที BIMSTEC ในการเชื่อมร้อยความสัมพันธ์กับอินเดีย เราต้องมี Act West Policy ด้วย ที่จะมุ่งยุทธศาสตร์ในด้านนี้ให้หนักแน่นมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ประเทศอินเดียภายใต้การนำของ นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ได้ประกาศอย่างชัดเจนตั้งแต่ช่วงก่อนการเลือกตั้งว่า ต้องการที่จะเข้ามาจัดการกับการพัฒนาด้านสันติภาพในประเทศเมียนมา รัฐบาลไทยจึงควรที่จะเจรจาเรื่อง Act West Policy ไปพร้อมๆ กับการแสดงบทบาทเป็นผู้เชื่อมต่อ การดำเนินงานด้านสันติภาพในเมียนมาด้วย” รศ.ดร.ดุลยภาค กล่าว