แง้มข้อต่อสู้ “ภูมิธรรม-ทวี” คดีฮั้ว สว. ในศาลรัฐธรรมนูญ
หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติเมื่อวานนี้ สั่งรับวินิจฉัยคำร้องของ สว. 42 คน ที่กล่าวหา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะรองประธานกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ ว่า ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติกรรมฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง เนื่องจากเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ให้ตรวจสอบกรณี “ฮั้วเลือก สว.” และให้รับเป็นคดีพิเศษ ทั้งๆ ที่เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. นั้น
ล่าสุดเริ่มมีความเคลื่อนไหวจากฝั่งดีเอสไอ และผู้ถูกร้อง คือ 2 รัฐมนตรี นายภูมิธรรม และ พ.ต.อ.ทวี ออกมาบ้างแล้ว โดยมีการอ้างคำวินิจฉัยของศาลฎีกา ตามคำพิพากษา “ฎีกาที่ 7623/2561” ซึ่งเคยวางบรรทัดฐานการใช้อำนาจและการทำหน้าที่ของคณะกรรมการคดีพิเศษ เอาไว้ดังนี้
- คณะกรรมการคดีพิเศษเป็นคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย มีอำนาจพิจารณาว่าคดีใดควรเป็นคดีพิเศษ
- การที่คณะกรรมการมีมติรับหรือไม่รับคดีนั้น ไม่ถือเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือเป็นการละเมิด
- ผู้ที่ฟ้องเรื่องนี้ จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากการกระทำของคณะกรรมการคดีพิเศษ
แหล่งข่าวจากทีมกฎหมายของดีเอสไอ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากการพิจารณา “มาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ.2561” ซึ่งใช้บังคับกับรัฐมนตรี และ สส. ด้วยนั้น ยังไม่พบว่าการกระทำของรัฐมนตรีทั้ง 2 คนในฐานะประธานและรองประธานกรรมการคดีพิเศษ เข้าข่ายละเมิดมาตรฐานจริยธรรม เหตุผลคือ
- ประธานและรองประธานกรรมการคดีพิเศษ ไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มกระบวนการตรวจสอบ “โพยฮั้ว สว.” แต่มีคณะ สว.สำรอง เป็นผู้มายื่นเรื่องราวร้องทุกข์กล่าวโทษ
- ข้อกล่าวหาของคณะ สว.สำรอง เป็นคดีอาญาแผ่นดิน เป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ
- การเสนอเรื่องให้คณะกรรมการคดีพิเศษ รับเป็นคดีพิเศษ จึงเป็นการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด ในทางกลับกัน หากไม่กระทำ อาจจะถูกฟ้องร้องดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้
- นอกจากนั้น เมื่อไปตรวจสอบ “ประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ.2564” จะพบว่ามีหลายประเด็นที่การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐมนตรีทั้งสองคน ในฐานะประธานและรองประธานกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ สอดคล้องกับมาตรฐานจริยธรรมนี้ เช่น ต้องเปิดเผยข้อมูลการทุจริต การใช้อำนาจในทางที่ผิด การฉ้อฉล หลอกลวง
ส่วนการห้ามข้าราชการการเมืองเข้าไปก้าวก่าย แทรกแซงการปฏิบัติราชการนั้น มีข้อยกเว้นกรณีเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย ซึ่งการเสนอหรือรับเรื่องใดเป็นคดีพิเศษ มีบรรทัดฐานตามคำพิพากษาศาลฎีการองรับไว้แล้วดังกล่าว