
นายยุทธพร อิสรชัย รองศาสตราจารย์ประจำสาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวภายหลังคณะกรรมการคดีพิเศษ หรือ กคพ.มีความเห็นให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ดำเนินคดีฮั้ว สว.ในฐานความผิดฟอกเงิน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.ว่า กฎหมายดังกล่าวมีความชัดเจนว่า ฐานความผิดอ้างอั้งยี่ จะต้องอาศัยเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 และแม้ไม่ใช่เสียง 2 ใน 3 DSI ก็สามารถดำเนินการได้ โดยต้องดูว่า การฟอกเงินนั้น ไปถึงไหน แต่เชื่อว่า จะใช้เวลาพอสมควร เนื่องจากมีพยาน และหลักฐานจำนวนมาก เช่น จำนวนรายชื่อ 1,200 คนที่หลุดออกมา และยังไม่นับรวมคนที่อยู่วงนอกอีก จึงเชื่อว่า คงไม่เร็ว และอาจจะใช้เวลาเป็นปี รวมถึงยังมีคำสั่งของพนักงานสอบสวนอีกว่า จะฟ้องใครบ้าง หลังจากนั้น จะไปสู่ขั้นตอนของอัยการ เพื่อส่งศาลพิจารณา
ส่วนจะเป็นขัดขา สว. หรือไม่นั้น นายยุทธพร มองว่า แม้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่ง สว.มีโอกาสถูกดำเนินคดีไม่น้อย แต่ต้องดูพยานหลักฐาน พร้อมย้ำว่า การดำเนินคดีในความผิดมูลฐานอั้งยี่ ก็ต้องสู้ในฐานฟอกเงินด้วย เพราะสามารถเชื่อมโยงได้ ดังนั้น จึงต้องดูพยานหลักฐานว่า จะมีแค่ไหนและใครเกี่ยวข้องบ้าง ซึ่งตอนนี้ เป็นเพียงแค่สอบในเบื้องต้น เพื่อนำพยานหลักฐานเข้าสู่ที่ประชุม ดังนั้น จึงเชื่อว่า ยังไม่มีผลกระทบกับ เสถียรภาพของ สว.เพราะต้องไปสู่บทสรุปก่อน
ส่วนเสถียรภาพพรรคร่วมรัฐบาลหลัง มักมีการตีความ สว.สีน้ำเงินเป็นเครื่องมือทางการเมืองนั้น นายยุทธพร มองว่า เสถียรภาพรัฐบาล เกิดขึ้นในหลายปัจจัย เช่น โควตารัฐมนตรี หรือจุดยืนทางการเมือง อีกทั้ง สว.เป็นเพียง 1 ในปัจจัย เพราะไม่มีพรรคใด ยอมรับว่า เกี่ยวข้องกับ สว.แม้จะมีการวิพากษ์วิจารณ์เชื่อมโยง แต่เชื่อว่า หากทุกพรรคการเมืองปักธงเดียวกัน เพื่อมุ่งไปสู่การเลือกตั้งปี 2570 ครั้งต่อไปก็ยังไม่มีพรรคการเมืองดพร้อมทั้งสรรพกำลัง และทุน
ส่วนการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะเกิดขึ้น ที่นายยุทธพร มองว่า จะไม่ทำให้เกิดรอยร้าวระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลเช่นกัน เพราะเป็นการพุ่งเป้าอภิปรายนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว ทำให้ไม่เกิดการเปรียบเทียบว่า ใครได้คะแนนมากหรือน้อยที่จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นได้ ดังนั้น ทั้งหมดต้องดูในระยะยาว
ส่วนผลที่ดีเอสไอออกมาในวันนี้ สืบเนื่องมาจาก 4 ผู้มีอิทธิพลพบกันที่บ้านจันทร์ส่องหล้า และทำให้ 2 พรรคการเมืองใหญ่ไม่กล้าแตกหักกันหรือไม่นั้น นายยุทธพร มองว่า ตั้งแต่ปี 2549 ประเทศไทยเป็นการเมืองแบบคัดตัวจริงออกมาอยู่นอกสนาม ดังนั้นทุกครั้งที่มีการพบปะ ก็จะมีประเด็นทางการเมืองเชื่อมโยง ที่แม้อาจจะมีจริง แต่ไม่มีใครทราบ และเชื่อว่า การตัดสินใจที่เกิดขึ้นได้พิจารณาอย่างระมัดระวัง เนื่องจากมีข้าราชการประจำอยู่ด้วย จึงต้องระมัดระวังในการใช้อำนาจ