
ผศ.ดร.เชษฐา ทรัพย์เย็น ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช และ ผอ.เนชั่นโพล อธิบายปรากฏการณ์นี้ผ่านแนวคิดทางรัฐศาสตร์ว่าด้วย “ผู้นำทาการเมือง” ซึ่งมี 2 แบบ คือ
- ผู้นำแบบ Charisma คือ ผู้นำที่มีบารมีโดยธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำตามโครงสร้างกฎหมาย แต่เป็นผู้นำที่คนทั่วไปยอมรับนับถือ แม้ไม่มีตำแหน่งทางการรองรับก็ตาม เช่น เจ้าพ่อ ผู้มีอิทธิพล หรือ บ้านใหญ่
กรณีคุณทักษิณ อธิบายได้ด้วยแนวคิดนี้ คือ เป็นลักษณะการใช้บารมีส่วนบุคคล ซึ่งสั่งสมมาจากการเป็นอดีตข้าราชการ เคยเป็นนักธุรกิจ เป็นนายกฯ และเคลื่อนไหวเป็นผู้นำทางการเมืองอย่างไม่เป็นทางการมาตลอด 10-20 ปี
- ส่วนผู้นำแบบ Authority เป็นผู้นำตามกฎหมาย เป็นผู้มีอำนาจสั่งการสูงสุดของฝ่ายบริหาร ในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา คือ นายกรัฐมนตรี
ปัญหาของสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเป็นอยู่ คือ ถ้านายกฯ ทางการ สั่งการแล้ว มีความเคลือบแคลงสงสัยจากสังคม หรือภาคส่วนต่างๆ ว่า มีความเป็นอิสระหรือไม่ หรือว่าถูกสั่งการ ครอบงำมาจาก ผู้นำที่มีบารมีเหนือกว่าอีกทีหนึ่ง จะส่งผลกระทบต่อสถานะความเป็นนายกฯในระยะยาว และรุนแรง
เพราะคำว่า Prime minister หรือนายกรัฐมนตรีในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาคือผู้มีอำนาจสูงสุดในทางการบริหาร มีอำนาจยุบสภาที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนได้ ฉะนั้น “ผู้นำทางการ” จึงต้องเป็น “เบอร์ 1 ตัวจริง” เสมอ
เหตุนี้เอง ถ้ามีภาพบ่อยๆ ว่า ผู้นำที่มีบารมี ไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่กลับมีอิทธิพลสูงว่านายกฯ มีผลต่อการตัดสินใจบ่อยครั้ง ย่อมส่งผลต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนที่มีต่อนายกฯ ซึ่งต้องเป็นเบอร์ 1 จริงๆ เท่านั้น
เนื่องจากตอนที่ประชาชนเลือกตั้ง เลือกพรรคการเมืองเข้ามาเพื่อให้เป็นรัฐบาล ประชาชนเลือกบุคคลที่อยู่ในลิสต์ของพรรคการเมืองนั้นให้ัเป็นนายกฯ เป็นผู้นำเบอร์ 1 มีอำนาจตัดสินใจ ไม่ใช่เลือกให้มาถูกครอบงำ หรืออยู่ในอาณัติของผู้มีบารมีอีกคนหนึ่ง และกลายเป็นว่าผู้มีบารมีคนนั้น มีอำนาจมากกว่าคนที่ผ่านการเลือกตั้งจากประชาชนเข้ามา
ผลของระบอบนี้ ดีหรือไม่ดีกันแน่ อาจารย์เชษฐา ตอบกลางๆ ว่า ขึ้นกับบริบทประเทศ
บริบทที่ 1 ถ้าผู้นำตัวจริงมีความอ่อนแอทางการบริหาร ไม่สามารถกำหนดทิศทางได้จริง อาจจะเพราะอายุยังน้อย ประสบการณ์ยังด้อย หรือมีบารมีไม่มากพอก็ตาม แต่มีผู้นำไม่เป็นทางการคอยช่วย แล้วแนะนำไปในทิศทางที่ถูกต้อง แบบนี้ประเทศก็ยังพอไปได้ แม้ไม่ดีที่สุดก็ตาม เพราะโดยระบอบจริงๆ ผู้นำที่เป็นเบอร์ 1 ต้องเป็นตัวจริงเท่านั้น แต่ผลก็ยังไม่เสียหายมาก
บริบทที่ 2 ถ้าประเทศมีปัญหาหนักอยู่แล้ว มีความขัดแย้งแบ่งฝักฝ่าย มีกระแสต่อต้านผู้นำที่เป็นทางการอยู่ เมื่อมีผู้มีบารมีแสดงศักยภาพเหนือว่า แถมสั่งการเรื่องต่างๆ ได้ จะทำให้เกิดกระแสต่อต้านหนักขึ้น ทำให้ระบบการเมืองไม่มีเสถียรภาพ ระบอบประชาธิปไตยไม่สามารถดำรงสถานภาพ ผลร้ายอาจไปไกลถึงการเป็นรัฐบาลไม่ครบเทอมได้เหมือนกัน
ผลอีกด้านคือ ฟังก์ชั่นการทำงานของภาคราชการเกิดความสับสน เพราะไม่ชัดเจนว่าสรุปแล้วข้าราชการต้องฟังใคร งานราชการแทนที่จะคล่องตัว อาจจะติดขัด เกิดความลังเลว่า ทำไปแล้ว จะถูกต้องตามกฎหมายจริงหรือไม่ เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ มีแต่คำพูด แต่ความรับผิดชอบทางกฎหมายอยู่ที่ข้าราชการ จึงอาจทำให้เกิดความกังวล ลังเล
ส่วนผู้นำที่มีบารมี ไม่ต้องรับผิด เพราะไม่ได้สั่งการตามระบบหรือตามกฎหาย ตัวข้าราชการไปทำตามเอง คนสั่งการโดยใช้บารมีก็ไม่มีความผิด นี่คือผลเสียหายในระยะยาวที่อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน
บทสรุป อาจารย์เชษฐา มองว่า ผู้นำบารมีหรือผู้นำตามกฏหมาย มีทั้งข้อดี และข้อด้อย เพียงแต่ต้องจัดวางบทบาทและหน้าที่ทางการเมืองอย่างสมดุล ไม่มากไปน้อยไป ถ้าทำให้ผู้นำที่มีบารมีเสริมกับผู้นำตามกฎหมาย และคงความเชื่อมั่นของผู้นำตามกฎหมายว่าคือผู้ที่ตัดสินใจสุดท้าย จะเกิดผลดีต่อการนำทิศทางทางการเมืองการบริหาร
แต่ถ้าโชว์ภาพว่าให้ผู้นำบารมีอยู่เหนือผู้นำตามกฏหมายอย่างชัดเจน จะเกิดความไม่สมดุลทางภาพลักษณ์ และอาจส่งผลต่อระบบการบริหารราชการโดยรวมได้ ดังนั้นจึงต้องจัดวางความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างผู้นำสองประเภทนี้ให้สมดุลถึงจะเกิดต่อประโยชน์ต่อประเทศชาติสูงสุด
ทางด้าน รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) มองว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับการเมืองไทยปัจจุบัน เป็นลักษณะการเมืองแบบปกติในประเทศแถบเอเชีย นั่นก็คือ เป็นการเมืองแบบไม่เป็นทาการ ใช้ความสัมพันธ์ส่วนบุคคล และตระกูลการเมือง ในการขับเคลื่อนงานทางการเมือง
อาจาย์ยกตัวอย่าง อองซานซูจี อดีตประธานพรรคเอ็นแอลดี ของเมียนมา ซึ่งทั่วโลกให้การยอมรับในฐานะนักประชาธิปไตย ก็เป็นทายาทตระกูลการเมือง หรือ เมกาวาตี ซูการ์โนปูตรี อดีตประธานาธิบดีอินโดนีเซีย อินทิรา คานธี อดีตผู้นำอินเดีย ตระกูลมาร์กอส + ตระกูลอาควิโน ของฟิลิปปินส์ ก็ล้วนเติบโตจากตระกูลการเมืองทั้งสิ้น
ในสายตาของอาจารย์ยุทธพร มีมุมมองว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับการเมืองแบบเอเชีย ที่ใช้ความสัมพันธ์ทั้งทางการ และไม่เป็นทางการอย่างแยกไม่ออก การขับเคลื่อนงานทางการเมืองของประเทศแถบนี้ บางส่วนอาจต้องขับเคลื่อนอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีอีกหลายๆ ส่วนที่ต้องอาศัย “บริบทไม่เป็นทางการ” ดูอย่างผู้นำมาเลเซีย ก็ตั้งคุณทักษิณ เป็นที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการ
รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.)
เมื่อถามถึงการตรวจสอบการใช้อำนาจจากการเป็นผู้นำอย่างไม่เป็นทางการ อาจารย์ยุทธพร เผยว่า ความรับผิดชอบทางกฎหมาย ก็มีช่องทางการตรวจสอบมากมาย ไม่ใช่เรื่องที่จะไม่มีความรับผิดชอบอะไรเลย ดูจากสถานการณ์ในบ้านเราตอนนี้ก็เห็นได้ชัด คุณทักษิณก็ถูกตรวจสอบอยู่หลายเรื่อง ฉะนั้นจึงไม่ได้เป็นปัญหาไร้การตรวจสอบ