
6 ธันวาคม 2567 ที่กระทรวงยุติธรรม นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อม นายสมบูรณ์ ศิลา ผู้บัญชาการเรือนจำกลางคลองเปรม นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อำนวยกทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ รองโฆษกกรมราชทัณฑ์ และทีมผู้บริหารกรมราชทัณฑ์
ร่วมกันแถลงข่าว ถึงการประกาศใช้ ระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังนอกเรือนจำ
โดย นางกนกวรรณ กล่าวว่า ระเบียบดังกล่าว อยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นประชาชน จนถึง 17 ธันวาคม 2567 เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไข จากนั้นเมื่อเรียบร้อยแล้ว อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ก็จะลงนามประกาศใช้ได้ทันที
เมื่อถามว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้าเงื่อนไขระเบียบดังกล่าวหรือไม่
นายสมบูรณ์ กล่าวว่า หลักเกณฑ์ยังไม่ออกเลย ยังตอบไม่ได้ และเรายังไม่ได้มีการพิจารณาเนื่องจากเป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้ต้องรอให้ประกาศดังกล่าวออกมาก่อน
และทุกอย่างก็คงเดินหน้าไปตามระเบียบ เราไม่มีการดำเนินการว่าใครจะเข้าเงื่อนไขดังกล่าวก่อนล่วงหน้า
กรมราชทัณฑ์ไม่ได้วางระเบียบนี้เพื่อรอใครคนใดคนหนึ่ง แต่ประกาศออกมาเมื่อปี 2566 เมื่อมีประกาศแล้วก็ต้องออกระเบียบตามมาในช่วงนี้
ยอมรับปฏิเสธไม่ได้ว่าสร้างความคลังแคลงใจ ว่าเราทำเพื่ออะไร แต่เรายืนยันได้ว่าเราไม่ได้ทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง ทำเพราะมันเข้าเงื่อนไขและความครบถ้วนในกระบวนการต่างๆ
นางกนกวรรณ กล่าวเสริมเรื่อง หลักเกณฑ์การคุมขังนอกเรือนจำ ว่า เกณฑ์การพิจารณา จะใช้หลัก "ทัณฑวิทยา" ซึ่งเกี่ยวกับการปฏิบัติในการลงโทษ ซึ่งจะมีคณะกรรมการในการตัดสิน โดยขอเรียนว่ามันไม่สิทธิ์หรือประโยชน์ของผู้ต้องขัง แต่เป็นการบริหารเรือนจำ
ที่ขณะนี้มีผู้ต้องขังจำนวนมาก และมันเป็นหลักสากลที่หลายๆประเทศใช้อยู่ และการที่จะให้เขาไปอยู่ ในที่คุมขังอื่น ก็ไม่ใช่การอยู่เฉยๆ ต้องมีกฎมีระเบียบ โดยจะต้องมีการประเมินความเสี่ยง จากคณะกรรมการในระดับเรือนจำก่อนจะไปคุมขังนอกเรือนจำ
เมื่อถามว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเป็นอีกหนึ่งคนที่ไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียวเหมือนกับ "นายทักษิณ ชินวัตร" หรือไม่
นายสมบูรณ์ กล่าวยืนยันว่า "นายกทักษิณ" ติดคุก เพราะไปอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจก็ถือว่าเป็นคุกแห่งหนึ่งตามกฎหมาย
ยอมรับว่าเรากังวลต่อข้อสงสัยของพี่น้องประชาชน แต่เรายืนยันว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ไปแล้ว
ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำ ดังนั้นในเรื่องชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ป.ป.ช.กำลังดำเนินการอยู่ รอกันวินิจฉัยของ ป.ป.ช.เป็นผู้ตัดสิน