
วันที่ 7 สิงหาคม 2567 "ช่อ" พรรณิการ์ วานิช กรรมการคณะก้าวหน้า ในฐานะอดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และคณะกรรมการพรรคอนาคตใหม่ ให้สัมภาษณ์ถึงกิจกรรมที่จะรองรับมวลชนที่จะเดินทางมาให้กำลังใจที่อาคารอนาคตใหม่ วันนี้ ว่า กิจกรรมจะเริ่มอย่างเป็นทางการตั้งแต่เวลา 13.30 น. คือ กิจกรรมเลคเชอร์สาธารณะ ว่าด้วยเรื่องศาลรัฐธรรมนูญ และการยุบพรรค โดย นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ซึ่งไม่ใช่พูดเฉพาะคดีพรรคก้าวไกล แต่จะพูดถึงการขยายขอบเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ไม่เกี่ยวกับการยุบพรรคอย่างต่อเนื่อง แล้วจะเปิดให้มีการซักถามทั้งจากสื่อมวลชนและประชาชน ทั้งเรื่องข้อกฎหมาย และการเมือง โดยจะมีการถามตอบไปเรื่อย ๆ จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัย
ทั้งนี้ หลังจากอ่านคำวินิจฉัยจบจะมีการแถลงข่าวประมาณ 18.00น. เพราะวันนี้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร จึงต้องรอ สส.เดินทางมาถึงที่พรรค รวมถึง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ไปฟังคำวินิจฉัยที่ศาลรัฐธรรมนูญ และหลังจากนั้นจะเป็นการปราศรัยยาวกับมวลชนที่มาเกาะติดบรรยากาศ และร่วมรับฟัง ไปจนถึง 21.00 น. ซึ่งจะยุติในเวลานี้ เนื่องจากบริเวณโดยรอบเป็นที่พักอาศัยก็จะเกรงใจเพื่อนบ้านที่พักอาศัยด้วย ทั้งนี้ คาดว่ามวลชนหลายคนจะเดินทางมาในช่วงเย็นหลังเลิกงานต่อเนื่องไปจนถึงช่วงค่ำ
ส่วนที่มีมวลชนทยอยมาร่วมรับฟังในวันนี้ มองว่า ความประทับใจแรกของวันนี้คือ ได้แจ้งไปว่าจะให้ประชาชนขึ้นไปฟังการแถลงข่าวได้แค่ 50 คน เพราะพื้นที่มีจำกัด ทั้งสื่อมวลชนกว่า 200 คน และ ส.ส.150คน ดังนั้น จึงเปิดลงทะเบียนเพื่อขึ้นไปฟังการแถลงข่าว และเมื่อเริ่มลงทะเบียนก็เต็มภายใน 1นาที เนื่องจากหลายคนเดินทางมาแต่เช้า และได้สิทธิก่อน ส่วนคนที่มาหลังจากนี้ก็ได้ฟังการปราศรัย และพบปะประชาชนอย่างใกล้ชิดที่ลานจอดรถแน่นอน
นอกจากนี้ "ช่อ พรรณิการ์" ยังบอกด้วยว่า หลายคนก็ถามว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อเทียบกับครั้งพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบกับตอนก้าวไกลจะถูกยุบ ก็ต้องยอมรับว่า ความรู้สึกแรกคือ "แค้น" ว่าความฝัน ความต้องการของพวกเรามันง่ายมาก คือการตั้งพรรคอันดับหนึ่ง เพื่อประเทศไทยที่เท่าเทียมกันเท่าทันโลก และคนไทยเท่าเทียมกัน พาประเทศไทยไปเท่าทันโลก สร้างสังคมที่เสมอภาคเท่าเทียม และตั้งประเทศไทยที่มีอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ซึ่งไม่ได้เป็นความฝันที่สุดโต่ง และทะเยอทะยาน เป็นสิ่งแรก ๆ ที่ประเทศในโลกทำกันได้ โดยไม่ต้องเป็นประเทศที่ร่ำรวยอะไร
แต่สำหรับประชาชนคนไทยคนกลุ่มหนึ่ง เมื่อมาทำพรรคการเมืองด้วยความฝัน แล้วไปบอกกับประชาชน ก็มีคนที่มีความฝันแบบเดียวกัน อยากทำให้เป็นจริง จาก 6 ล้านคน เป็น 14 ล้านคน มันยากเหรอที่จะเกิดขึ้น แต่ทำไมถึงไม่ได้รับอนุญาตให้เกิดขึ้น ทำไมจึงต้องขออนุญาตพวกเขา ในเมื่อบอกว่าประเทศนี้เป็นประชาธิปไตยที่มีอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน จึงเป็นความแค้นที่รู้สึกอัดอั้นตันใจว่า ความฝันอันเรียบง่ายทำไมจึงต้องขออนุญาต ไม่ได้เป็นความแค้นที่ว่าพรรคเราทุกยุค
สำหรับการเตรียมการหลังจากนี้ ตนเองมองว่า คงต้องไปถามพรรคก้าวไกล แต่ในฐานะที่เคยถูกยุบพรรคมาก่อน เชื่อมั่นว่า พรรคก้าวไกลมีการเตรียมพร้อม สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว หากวันนี้ไม่ยุบ ทางพรรคก้าวไกลก็จะเดินหน้าต่อไป "พรรคก้าวไกลจะต้องติดปีกทะยานไปข้างหน้า" และจะได้นำเอาเวลาและทรัพยากรไปช่วยเหลือประชาชน เพราะการถูกยุบพรรคไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์กับประชาชน มีแต่เสียเวลาเปล่า และไม่ได้เกิดอะไรที่ดีขึ้นมากับประเทศ แต่หากถูกยุบ ก็เชื่อว่าคงมีการเตรียมพร้อมเอาไว้แล้วทุกกรณี
"ช่อ พรรณิการ์ " กล่าวอีกว่า ในสมัยอนาคตใหม่ ต้องใช้เวลา 1 เดือน ถือว่ายังตั้งรับลำบาก แต่ถ้าเป็นครั้งนี้ก็เชื่อว่าไม่ได้ใช้เวลานานแล้ว และไปต่อได้ทันที เป็นความเชื่อแบบนั้น ส่วนก้าวไกลจะเตรียมพร้อมไว้แค่ไหน เป็นเรื่องของพรรคก้าวไกล ไม่สามารถตอบแทนได้
ส่วนนายพิธา ที่ได้เดินทางไปร่วมฟังคำวินิจฉัยที่ศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนตัวไม่ได้พูดคุย หรือให้กำลังใจอะไร เพราะทุกคนนั้นได้ทำหน้าที่ของตัวเอง เชื่อว่าทำในสิ่งที่ถูกต้อง และพรรคก้าวไกลเองก็ทำในสิ่งที่ถูกต้องเช่นกัน
และขอบคุณประชาชน คงต้องให้กำลังใจกันและกัน