svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"สุทิน" ปรับโฉมใหม่รับบทเซลส์แมนดันอุตสาหกรรมป้องกันชาติสู่ตลาดโลก

08 พฤษภาคม 2567
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"สุทิน คลังแสง" พลิกบทบาทกลาโหม จากผู้ "ใช้งบ" เป็นผู้หา "หาเงิน" เข้าชาติ เตรียมดันอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยสู่ตลาดโลก ชี้รัฐมนตรียุคใหม่ต้องรับหน้าที่เซลส์แมน

8 พฤษภาคม 2567 "นายสุทิน คลังแสง" รมว.กลาโหม เดินทางเยือนกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อร่วมงาน Defence Service Asia 2024 (DSA) ระหว่างวันที่ 5-7 พ.ค. 2567 พร้อมระบุว่า บทบาทของกระทรวงกลาโหมขณะนี้จำเป็นต้องปรับตัว จากเดิมที่เคยเป็นผู้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินในภารกิจของกองทัพ และความมั่นคง มาเป็นการหารายได้เข้าประเทศ เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ตลอดจนเกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ และรายได้ให้กับคนในชาติ ผ่านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา ตนไม่แน่ใจว่ารัฐบาลให้ความสำคัญมากน้อยแค่ไหน "แต่ถ้าในยุคที่มีรัฐมนตรีกลาโหมชื่อสุทิน จะต้องทำเรื่องนี้ให้เต็มที่ และถ้าทำได้ดี" การส่งออกอุตสาหกรรมประเภทนี้ จะนำเม็ดเงินมหาศาลเข้าประเทศ อาจจะมากกว่าการส่งออกด้านเกษตรกรรม หรืออื่น ๆ ด้วยซ้ำไป 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันภาคเอกชนของไทยหลายรายที่มีศักยภาพสูง สามารถส่งออกและเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ อย่างเช่น บริษัท ชัยเสรี เม็ททอล แอน รับเบอร์ จำกัด ที่วันนี้ (8พ.ค.) ได้ร่วมมือกับกระทรวงกลาโหม โดยสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) ซึ่งจัดตั้งเป็นบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อบริษัท TDI (Thai Defense Industry) ซึ่งแนวทางนี้จะช่วยเพิ่มโอกาส และช่องทางการส่งออกให้กับภาคเอกชนในลักษณะแบบรัฐต่อรัฐ หรือ G to G ได้

ขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยเองก็ต้องลดการจัดซื้ออาวุธและยุทโธปกรณ์จากต่างประเทศ หันมาสนับสนุนการผลิตที่เกิดจากภายในด้วยเช่นกัน แม้จะไม่สามารถทำได้ในคราวเดียว แต่อาจจะค่อย ๆ เพิ่มปริมาณขึ้นเป็นขั้นบันไดได้

 

"เพราะถ้าเราจะไปขายให้ต่างชาติ แต่ไม่มีการใช้ในกองทัพไทยเลย จะเอาเครดิตอะไรไปขาย หรือจะเอาอะไรอ้างอิงถึงประสิทธิภาพของสินค้าได้ ซึ่งเรื่องนี้ ต้องทำเป็นนโยบายหลักของกลาโหมในยุคที่ผมเป็นรัฐมนตรี เพราะอย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า เรื่องของอาวุธ เป็นรายจ่ายที่หนักของประเทศ ถ้าเราสามารถลดรายจ่าย และตีกลับให้เป็นรายได้ของประเทศ ลองคิดดูว่าจะมีมูลค่ามากแค่ไหน ผมกำลังมาดูเรื่องของภาษีและค่าธรรมเนียมว่าจะช่วยลดต้นทุนการผลิตของภาคเอกชน ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมได้อย่างไร รวมถึงได้หารือกับกระทรวงอุตสากรรมถึงแนวทางในการร่วมมือกันพัฒนาเรื่องนี้ให้มีเป้าหมายเดียวกันด้วย" รมว.กลาโหม ระบุ

นอกจากนี้ การเป็นรัฐมนตรียุคใหม่ต้องทำหน้าที่เป็นเซลส์แมนของประเทศ ซึ่งการที่ตนเดินทางเยือนต่างประเทศแต่ละครั้ง บทบาทอย่างหนึ่ง คือ การช่วยรับรอง สนับสนุน และนำเสนอภาคเอกชนของไทย ให้ได้รับความน่าเชื่อจากกองทัพของในประเทศที่ไป เช่น อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งตนก็ได้พบหารือกับรัฐมนตรีกลาโหม ผู้นำกองทัพ และภาคเอกชนของทั้งสองประเทศ จนนำมาสู่ความก้าวหน้าในการที่จะมีแผนการจัดทำข้อตกลง หรือ MOU ร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ ดังนั้น ตนในฐานะ รมว.กลาโหม จึงต้องมีความตระหนัก และให้ถือว่าเป็นภาระหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่ง ที่จะต้องทำให้จริงจัง เพราะนอกจากจะเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทย ลดรายจ่ายจากการนำเข้าแล้ว ยังสร้างมูลค่ามหาศาลล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจทั้งในภาคแรงงาน และภาคอุตสาหกรรมของประเทศให้เกิดความอย่างยั่งยืน

ขณะที่ "นายกานต์ กุลหิรัญ" กรรมการผู้จัดการบริษัทชัยเสรี เม็ททอล แอน รับเบอร์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทชัยเสรี ดำเนินธุรกิจผลิต จำหน่าย และซ่อมบำรุง Defense Land System และยุทโธปกรณ์ทางทหาร มีฐานการผลิต ทีมวิศวกร และช่างจากในประเทศไทย มีศักยภาพเป็นที่ยอมรับ ส่งออกไปขายในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมทั้งองค์การสหประชาชาติ

อย่างไรก็ดี การที่กระทรวงกลาโหมกำลังมีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ที่จะกำหนดให้กองทัพ เริ่มทะยอยซื้อยุทโธปกรณ์ที่ผลิตในประเทศมากขึ้นนั้น นอกจากจะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการที่จะเร่งพัฒนาสินค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ยังช่วยลดรายจ่ายของภาครัฐได้อย่างมหาศาล เพราะการซ่อมบำรุง การขนส่ง การอัพเกรดซอฟต์แวร์ ช่าง หรือ อื่นๆ ก็จะทำได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องส่งกลับไปประเทศต้นทาง เพราะในทุกกระบวนการ มีต้นทุนและค่าใช้จ่ายสูงมาก 

ด้าน "นายกฤต กุลหิรัญ" ผู้ช่วยผู้จัดการบริษัทชัยเสรี เม็ททอล แอน รับเบอร์ จำกัด กล่าวด้วยว่า ต้องขอขอบคุณกระทรวงกลาโหมที่ให้ความสำคัญและสนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทย ซึ่งทางบริษัทเป็นหนึ่งในหลายบริษัท ที่มีโอกาสได้ร่วมคณะในการเยือนประเทศต่างๆ กับรัฐมนตรีกลาโหม ซึ่งตนได้มีโอกาสร่วมคณะไปเยือนอินโดนีเซีย สิงคโปร์ และมาเลเซีย

 

"การที่ชัยเสรีได้ร่วมกับกระทรวงกลาโหม จัดตั้งบริษัทร่วมทุนชื่อ TDI นั้น จะทำให้รัฐบาลและกองทัพประเทศต่าง ๆ เกิดความมั่นใจ และเชื่อมั่นในสินค้าและยุทโธปกรณ์มากขึ้น เพราะแต่ละชิ้นล้วนมีมูลค่าที่สูงมาก หากเราขายแบบ G to G หรือรัฐต่อรัฐ ย่อมเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจจากผู้ซื้อ เพราะบางประเทศไม่ซื้อตรงจากเอกชนเลย ดังนั้น วันนี้เรามีท่านรัฐมนตรีเป็นเซลส์แมนให้ ภาคเอกชนก็มีความคล่องตัวมากขึ้น ประเทศได้กำไร เกิดการจ้างงานจ้างอาชีพ สร้างเศรษฐกิจของประเทศให้เข้มแข็ง" นายกฤต กล่าว

 

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายตนอยากฝากให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องของข้อกฎหมาย ที่บางอย่างยังเป็นอุปสรรคสำคัญ ในการดำเนินการของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ รวมถึงการที่รัฐบาลควรจะต้องมีนโยบายเรื่อง offset policy เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของคนในชาติ จากการนำเข้ายุทโธปกรณ์จากต่างประเทศ โดยให้คำนึงถึงการจ้างงาน และการชดเชยไม่ว่าจะทางตรง หรือทางอ้อมให้กับคนในประเทศเป็นสำคัญ
 

logoline