svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"ชัยธวัช" แนะรัฐความปรับคำถามประชามติใหม่เพื่อเข้าใจง่ายอย่าตีกรอบ

24 เมษายน 2567
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"ชัยธวัช ตุลาธน" มองคำถามประชามติแก้รัฐธรรมนูญยังมีเงื่อนไข หวังรัฐบาลทบทวนปรับใหม่เพื่อเข้าใจง่ายกว่านี้ หวั่นคะแนนเสียงตกน้ำ ปัด "ก้าวไกล" คิดจ้องล้างหมวด 1-2 แต่ยังมีเรื่องอื่นซ่อนอยู่โดยเฉพาะ สว.

24 เมษายน 2567 "นายชัยธวัช ตุลาธน" สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่โฆษกรัฐบาล ระบุรัฐบาลแถลงเห็นชอบในหลักการทำประชามติ 3 ครั้ง โดยการทำประชามติครั้งแรก จะใช้คำถามว่า ท่านเห็นด้วยหรือไม่ ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่แก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 ซึ่งจากที่ดูตามเอกสารก็ยังไม่ชัดเจนว่า ตกลงแล้วคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอย่างเป็นทางการต่อเรื่องนี้แล้วหรือไม่

ทั้งนี้ ในมุมมองของพรรคก้าวไกล เห็นว่าหากยังมีเวลาอยากให้รัฐบาลไปทบทวน ตั้งคำถามทำประชามติอย่างกว้างที่สุด เข้าใจง่าย ไม่ต้องมีเงื่อนไขซับซ้อน เช่น ถามประชาชนว่าเห็นด้วยหรือไม่ที่ จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แทนฉบับเก่า ซึ่งหากรัฐบาลมีข้อกังวลเรื่องหมวด 1 และหมวด 2 รัฐบาลเองรวมถึง สส.ก็สามารถแก้ไขรายละเอียดด้วยการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่ที่ประชุมสภา หลังการทำประชามติได้ 

นายชัยธวัช กล่าวต่อว่า หลักของการทำประชามติ คือ ต้องเข้าใจง่าย แต่หากตั้งคำถาม โดยมีเงื่อนไขว่า ยกเว้นหมวด 1 และหมวด 2 คนที่โหวตเห็นด้วย เห็นด้วยกับอะไร ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยหรืองดออกเสียง ไม่เห็นด้วยกับอะไร ไม่เห็นด้วยกับการตั้งเงื่อนไขเว้นบางหมวด หรือไม่เห็นด้วยกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อยากจะอยู่กับรัฐธรรมนูญ 60 ดังนั้น จะตีความผลประชามติอย่างไร 

นอกจากนี้ คำถามประชามติที่ไม่ซับซ้อน จะมีโอกาสทำให้ประชามติผ่านง่ายขึ้น สามารถรวมคะแนนเสียงได้เป็นเอกภาพมากที่สุด แทนที่จะมีคะแนนเสียงบางส่วนที่อยากได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ไม่เห็นด้วยกับเงื่อนไข จึงโหวตไม่เห็นชอบ หรือไม่โหวตเลย ก็จะน่าเสียดาย เพราะคงไม่ได้ทำประชามติกันบ่อยๆ ทางฝ่านค้านก็อยากให้การทำประชามติมีโอกาสผ่านมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเฉพาะพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประชามติปัจจุบัน ที่มีเงื่อนไขเสียงข้างมากสองชั้น หรือ double majority 

 

"ตอนนี้สิ่งที่พรรคก้าวไกลพยายามทำคือ ส่งเสียงถึงรัฐบาล ต้องย้ำว่าพรรคก้าวไกลสนับสนุน อยากเห็นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เร็วที่สุด ไม่มีเจตนาขัดขวาง ดังนั้น เวลาที่เหลืออยู่ ในขณะที่ ครม.ไม่ชัดเจนว่า มีมติเป็นทางการแล้วหรือยัง แปลว่ายังมีโอกาสที่จะเปลี่ยนได้ ก็อยากให้ทบทวน" นายชัยธวัช กล่าว

ส่วนเรื่องรัฐธรรมนูญหมวด 1 และหมวด 2 คนในรัฐบาลบางคน พยายามสร้างความเข้าใจว่า พรรคก้าวไกลต้องการจะแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 มาก จึงคัดค้านคำถามแบบนี้ ซึ่งความจริงไม่ใช่ เพราะหลักการพื้นฐาน หากอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน รัฐธรรมนูญก็ควรจะแก้ได้ทั้งหมด ไม่ควรจะวางบรรทัดฐานทางการเมืองแบบนี้ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ 

อย่างไรก็ตาม อยากย้ำว่า รัฐธรรมนูญหมวด 1 และหมวด 2 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพระราชอำนาจอย่างเดียว แต่มีเรื่องอื่นด้วย สมมติว่าในอนาคตมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เห็นว่าไม่จำเป็นต้องมีวุฒิสภา แล้วให้ใช้ระบบสภาเดี่ยว เหมือนประเทศไทยในอดีต แต่ในหมวด 1 มีถ้อยคำวุฒิสภาอยู่ จะเอาออกอย่างไร จึงจำเป็นต้องมีการแก้ไขถ้อยคำ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับพระราชอำนาจเลย ซึ่งอาจมีปัญหาทางเทคนิคเกิดขึ้นได้

 

"อยากให้รัฐบาลลองฟังเสียงสะท้อนของประชาชน ผมเชื่อว่าเป็นเสียงที่อยู่บนเจตนารมย์ที่ดี อาจจะไม่ต้องถามความเห็นพรรคร่วมฝ่ายค้านอย่างเดียว แต่ต้องหาความเห็นของภาคประชาชน และภาคประชาสังคมต่างๆ และยังคิดว่า คำถามที่ดีที่สุด คือ คำถามที่เข้าใจง่าย และรวมเสียงของคนที่อยากทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เป็นเอกภาพ" หัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุ

 

ขณะที่วันเดียวกัน พรรคก้าวไกล ยังได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ โดยระบุว่า 

พรรคก้าวไกลยืนยันมาตลอดว่าเราสนับสนุนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นได้จริงโดยเร็วที่สุด

หลังจากการประชุม ครม. เมื่อวานนี้ (23 เม.ย.) รัฐบาลได้แถลงเห็นชอบในหลักการให้เริ่มต้นเดินหน้าสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามเส้นทาง "ประชามติ 3 ครั้ง" (ตามข้อเสนอของคณะกรรมการศึกษาฯ ที่ตั้งโดยรัฐบาลและนำโดยภูมิธรรม เวชยชัย) โดยให้มีการจัดประชามติครั้งที่ 1 ในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. ด้วยคำถามที่ว่า: "ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่แก้ไขหมวด 1 (บททั่วไป) และ หมวด 2 (พระมหากษัตริย์)?"

ในขณะที่เรารอการเผยแพร่มติ ครม. สู่สาธารณะ และรอการออกประกาศฯในราชกิจจานุเบกษาอย่างเป็นทางการ พรรคก้าวไกลขอย้ำอีกรอบให้รัฐบาลพิจารณาทบทวนเรื่อง "คำถามประชามติ" ดังกล่าว ซึ่งเรามองว่าเป็นคำถามประชามติที่มีปัญหาและเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่สะดุดลงและไม่ประสบความสำเร็จ

1.คำถามประชามติของรัฐบาล เพิ่มความเสี่ยงที่ประชามติครั้งแรกจะไม่ผ่านความเห็นชอบของประชาชน เนื่องจากเป็นคำถามที่มีการ "ยัดไส้" เงื่อนไขหรือรายละเอียดปลีกย่อยในตัวคำถาม

การบรรจุเงื่อนไขหรือรายละเอียดเรื่องหมวด 1-2 ในตัวคำถาม จะทำให้ประชาชนบางคนที่เห็นด้วยกับบางส่วนของคำถาม แต่ไม่เห็นด้วยกับอีกบางส่วนของคำถาม (เช่น เห็นด้วยกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ไม่เห็นด้วยกับการล็อกหมวด 1-2) อาจไม่แน่ใจว่าจะลงมติเช่นไร

หากประชาชนแต่ละคนที่มีจุดยืนดังกล่าวตัดสินใจลงคะแนนไม่เหมือนกัน (เช่น บางคนลงคะแนน "เห็นชอบ" / บางคนลงคะแนน "ไม่เห็นชอบ" / บางคน "งดออกเสียง") ก็จะหมายความว่าในบรรดาคนที่อยากเห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่ใช่ทุกคนที่จะลงคะแนน "เห็นชอบ" เหมือนกันอย่างเป็นเอกภาพ ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงที่ประชามติจะไม่ผ่าน (ยิ่งหากการแก้ไข พ.ร.บ. ประชามติ เรื่องเกณฑ์ "เสียงเกินกึ่งหนึ่ง 2 ชั้น" ไม่สามารถดำเนินการได้ทันประชามติครั้งแรก)

หากประชามติไม่ผ่านเพราะเหตุผลดังกล่าว ไม่เพียงแต่จะทำให้กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่สะดุดลง แต่ยังจะก่อปัญหาในการตีความต่อไปในอนาคต ว่าเหตุผลที่ประชามติไม่ผ่านเป็นเพราะอะไร (เช่น เป็นเพราะประชาชนไม่อยากเห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือ เป็นเพราะประชาชนไม่เห็นด้วยกับเงื่อนไขเรื่องการล็อกหมวด 1-2)

2.คำถามประชามติของรัฐบาล เพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประสบปัญหาเชิงกฎหมาย

เนื้อหาของรัฐธรรมนูญแต่ละหมวดมีความสัมพันธ์กันโดยธรรมชาติ ดังนั้น เมื่อมีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (ตั้งแต่หมวด 3 เป็นต้นไป) การแก้ไขข้อความหรือเนื้อหาใด ๆ ในหมวด 3 เป็นต้นไป อาจนำไปสู่ความจำเป็นทางกฎหมายที่จะต้องแก้ไขบางข้อความหรือเนื้อหาในหมวด 1-2 ให้สอดคล้องกันกับหมวดอื่นๆ

ตัวอย่าง: หากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีการยกเลิกวุฒิสภาและหันมาใช้ระบบสภาเดี่ยว ก็ควรมีการตัดคำว่า "วุฒิสภา" หรือ "สมาชิกวุฒิสภา" ที่ปรากฎในหมวด 1-2 ออก (เช่น ในมาตรา 12 ที่กำหนดว่าองคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกวุฒิสภา) เนื่องจากไม่มีสิ่งที่เรียกว่าวุฒิสภาแล้ว

แต่หากหมวด 1-2 ถูกล็อกไว้ การแก้ไขข้อความดังกล่าวจะทำไม่ได้และอาจนำไปสู่ปัญหาเชิงกฎหมาย

3.คำถามประชามติของรัฐบาล เพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่สามารถแก้ปัญหาความเห็นที่แตกต่างได้และไม่สะท้อนฉันทามติใหม่ของประชาชนทุกคนในสังคมได้อย่างแท้จริง เป้าหมายสำคัญอย่างหนึ่งของรัฐธรรมนูญ คือการออกแบบกติกาการเมืองที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายท่ามกลางความเห็นที่แตกต่าง

ที่ผ่านมา การแก้ไขเนื้อหาในหมวด 1-2 เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยปกติ ทุกครั้งที่มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (รวมถึงตอนจัดทำรัฐธรรมนูญ 2540 / 2550 / 2560) ยิ่งไปกว่านั้น มาตรา 255 ของรัฐธรรมนูญได้ห้ามไว้ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ให้มีการการแก้ไขเนื้อหาในรัฐธรรมนูญ (ไม่ว่าในหมวดใด) ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองหรือรูปแบบรัฐ

ดังนั้น หากประชาชนบางกลุ่มอยากปรับปรุงเนื้อหาบางส่วนในหมวด 1-2 โดยที่การแก้ไขดังกล่าวไม่เป็นการกระทบรูปแบบการปกครองหรือรูปแบบรัฐ การไปล็อกไม่ให้เขาแม้กระทั่งได้เสนอความเห็นของเขาด้วยเหตุและผลอย่างมีวุฒิภาวะในพื้นที่ที่ควรปลอดภัยอย่าง สสร. (แม้ในที่สุด สสร. ส่วนใหญ่อาจจะไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเขา) อาจทำให้การแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างทางการเมืองในบริบทปัจจุบันมีความท้าทายมากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะไม่ถูกมองว่าสะท้อนฉันทามติใหม่ของประชาชนทุกคนอย่างแท้จริง

ข้อกังวลทั้งหมดที่พรรคก้าวไกลมีต่อคำถามประชามตินี้ เป็นข้อกังวลที่เราได้พยายามสะท้อนต่อรัฐบาลและต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่อง

ในเมื่อการทำประชามติแต่ละครั้งคาดว่าจะใช้งบประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท และต้องอาศัยเวลาอย่างน้อย 3-4 เดือน เราจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลจะออกแบบคำถามประชามติที่ไม่เพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่สะดุดลงโดยไม่จำเป็น

เพื่อป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว พรรคก้าวไกลจึงขอเสนออีกครั้งก่อนที่จะสายเกินไป ให้รัฐบาลพิจารณาทบทวนและหันมาใช้คำถามหลักของประชามติครั้งแรกที่เปิดกว้าง (เช่น “ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่?”) ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวเลือกคำถามประชามติที่ทางคณะอนุกรรมการรับฟังความเห็นฯ ของรัฐบาลเอง (นำโดย นิกร จำนง) เคยได้เสนอให้คณะกรรมการศึกษาฯ ของรัฐบาลพิจารณา เพื่อเพิ่มโอกาสที่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยจะประสบความสำเร็จ

 

logoline