เทียบ "อนาคตใหม่-ก้าวไกล"
"พรรคก้าวไกล" กำลังถูกมองว่าอาจจะซ้ำรอยเฉกเช่น "พรรคอนาคตใหม่" ซึ่งเป็นสารตั้งต้นพรรคส้ม ที่เคยถูกสั่งให้ยุบพรรคมาแล้ว พร้อมทั้งตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคไปก่อนหน้านี้
ย้อนกลับไปยังกรณียุบพรรคอนาคตใหม่ สืบเนื่องมาจากการกู้ยืมเงิน "นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" หัวหน้าพรรคขณะนั้น เพื่อนำมาใช้ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง รวมทั้งสิ้น 191.2 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 2 สัญญา คือ
โดยกรณีของพรรคอนาคตใหม่ ที่ศาลรัฐธรรมนูญรับไว้ดำเนินการตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3) ประกอบมาตรา 72 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 กรณีที่อนาคตใหม่ กระทำการฝ่าฝืน มาตรา 72 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2560
หากนับเฉพาะที่ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้วินิจฉัยยุบพรรค ในวันที่ 25 ธ.ค. 2562 พร้อมทั้งให้ชี้แจงข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้สำเนาคำร้อง
จากนั้นในวันที่ 27 ม.ค. 2563 ทางทีมทนายความพรรคอนาคตใหม่ ได้ส่งเอกสารชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ
กระทั่งวันที่ 5 ก.พ. 2563 ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกเอกสารข่าวประชาสัมพันธ์นัดอ่านคำวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตหรือไม่
วันที่ 12 ก.พ. 2563 พรรคอนาคตใหม่ได้ส่งเอกสารพยานทั้ง 17 ปาก ต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่ศาลได้ขยายเวลาให้ส่งใหม่เป็นวันที่ 17 ก.พ. 2563 เนื่องจากจัดเตรียมคำชี้แจงไม่ทัน เพราะพรรคได้รับเอกสารอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 ก.พ. 63
กระทั่งวันที่ 21 ก.พ. 2563 ซึ่งเป็นวันกำหนดชี้ชะตาของศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีมติ 7 ต่อ 2 เห็นควรยุบพรรค และให้ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคทั้ง 16 คน เป็นเวลา 10 ปี รวมถึงไม่สามารถตั้งพรรคการเมืองใหม่ได้ โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณ 2 เดือน ถึงจะมีคำพิพากษา
เวลากับชะตา "ก้าวไกล"
และเมื่อมาดูในส่วนของพรรคก้าวไกล ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องไป เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2567 ตามที่ กกต. ยื่นเรื่องมา และก้าวไกล ต้องชี้แจงเรื่องดังกล่าวภายใน 15 วัน
ดังนั้น ถ้าหากนับระยะเวลาและกระบวนการในการพิจารณาต่างๆ เมื่อเทียบกับการยุบ "พรรคอนาคตใหม่" ก็จะมีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้
ทว่า ฐานความผิดของก้าวไกลครั้งนี้เกี่ยวกับหาเสียงแก้ไข ม.112 ที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยตัดสินไปช่วงต้นปี คือ เมื่อวันที่ 31 ม.ค. ที่ผ่านมา ถือเป็นการ "ล้มล้างการปกครอง" พร้อมสั่งให้ยุติการกระทำ
ซึ่งเนื้อหาและกระบวนการพิจารณา โดยเฉพาะขั้นตอนการเรียกสอบพยานอาจกินเวลาเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าอีก 2 เดือน คือ ช่วงราวๆ เดือน ส.ค. ถึงจะรู้คำตอบในเรื่องนี้ ว่าผลออกมาเป็นเช่นไร
หากเป็นไปในทิศทางลบ จะส่งผลต่อคณะกรรมการบริหารพรรค ชุดที่เสนอนโยบายหาเสียงแก้ไข ม.112 ให้ได้รับผลกระทบทางการเมืองอย่างเลี่ยงได้ยาก ซึ่งประกอบด้วย
ยุบพรรคไม่ใช่เรื่องใหม่
และแน่นอนว่าคดียุบพรรคภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 เกิดขึ้นมาแล้วก่อนหน้านี้ อย่าง "พรรคไทยรักษาชาติ" กับการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ
หากนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปอีกบนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ก็จะเห็นได้ว่าการยุบพรรคนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเคยเกิดขึ้นมาแล้ว
ก่อนมีรัฐธรรมนูญปี 2540 การยุบพรรคการเมืองส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด เกิดขึ้นเพราะคำสั่งของคณะนายทหารที่เข้ายึดอำนาจการปกครอง หรือทำรัฐประหารนั่นเอง
หลังมีรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 มีการโอนอำนาจการสั่งยุบพรรค จากศาลฎีกา เป็นศาลรัฐธรรมนูญ โดยเหตุแห่งปัจจัยของการยุบพรรคตามรัฐธรรมนูญปี 2540 และฉบับต่อๆ มา คือ
ภายหลังมีการขยายเงื่อนไขข้อสองให้กว้างและเยอะขึ้น เช่น เรื่องเงินบริจาค หรือการครอบงำพรรค ซึ่งปรากฏใน พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 ฉบับปัจจุบัน
เปิดสถิติยุบพรรคการเมือง
นับตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นต้นมา ซึ่งโอนอำนาจสั่งยุบพรรค จากศาลฎีกา เป็นศาลรัฐธรรมนูญ / ศาลสั่งยุบพรรคมาแล้ว 110 พรรค แยกเป็น
4 สาเหตุให้ต้องยุบ
1.กระทำผิดหลักเกณฑ์ ข้อกำหนด และคุณสมบัติความเป็นพรรคการเมืองตามกฎหมาย รวม 101 พรรค
2.กระทำการเข้าข่ายล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ จำนวน 4 พรรค คือ
3.กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จำนวน 4 พรรค คือ
4.รับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ได้แก่ พรรคอนาคตไทย
ทั้งหมด คือ ภาพรวมบนเวทีการเมืองไทยกับเรื่องราวการยุบพรรค และโดยเฉพาะประเด็น "ล้มล้างการปกครอง" ที่ก้าวไกลจะฝ่าฟันพ้นอุปสรรคไปได้หรือไม่ หรือต้องลงเอยแบบเดียวกับ "อนาคตใหม่" อีกไม่นานนี้มีคำตอบ