svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

ผ่านฉลุย! "วุฒิสภา" เห็นชอบวาระแรก "สมรสเท่าเทียม"

02 เมษายน 2567
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ฉลุย! สมาชิกวุฒิสภามีมติเห็นชอบวาระแรก "สมรสเท่าเทียม" ด้วยคะแนน 147 ต่อ 4 เสียง ขณะที่ สว.ส่วนใหญ่ ชี้ถึงเวลาต้องยอมรับความจริง ไม่ใช่พิจารณาตามกระแส หนุนให้มีผลทันทีไม่ต้องรอถึง 180 วัน ย้ำอย่าคิดว่ามีกฎหมายแล้วเป็นชัยชนะ แต่ต้องมองไปไกลกว่านั้น

2 เมษายน 2567 การประชุมวุฒิสภาได้มีวาระพิจารณา ร่างพ.ร.บ.เพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งแลพาณิชย์ หรือ "สมรสเท่าเทียม" วาระแรก หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเสร็จแล้ว ก่อนที่จะปิดสมัยประชุม ในวันที่ 9 เม.ย. และส่งต่อมาให้วุฒิสภาพิจารณาต่อให้แล้วเสร็จ ภายใน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่ 29 มี.ค. ซึ่งเป็นวันที่สภาผู้แทนราษฎรส่งมาให้ 

สำหรับบรรยากาศการประชุมเป็นไปด้วยความราบรื่น โดย สว.ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับร่างกฎหมาย อย่าง "นายวันชัย สอนศิริ" ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศาสนา คุณธรรมจริยธรรม ศิลปและวัฒนธรรม วุฒิสภา ที่พิจารณาคู่ขนาน อภิปรายเป็นข้อสังเกตว่าประเทศที่มีกฎหมายสมรสเท่าเทียมในลักษณะนี้มีเพียงไม่กี่ประเทศ และในประเทศมุสลิมไม่รับรองกฎหมายฉบับนี้ เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

นายวันชัย กล่าวต่อว่า ควรจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ที่สำคัญร่างกฎหมายนี้ เป็นการรับรองสิทธิ์ในการก่อตั้งครอบครัวที่มีความหลากหลายทางเพศ อย่างไรก็ตาม กฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่บังคับไม่ให้ทำการ แต่เป็นการเปิดโอกาสให้ใช้สิทธิ์ที่สามารถทำได้ ดังนั้น หากเห็นว่าผิดคำสอนศาสนา ก็ไม่ต้องไปทำก็ได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบเชิงศีลธรรมทางสังคม เช่น ปัญหาการค้ามนุษย์ การล่วงละเมิดทางเพศ การลักลอบอุ้มบุญ และข้อจำกัดในการเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนา ทาง กมธ. จึงมีข้อสังเกตว่า ประเด็นทางศาสนาควรมีการสร้างการรับรู้ในหมู่ผู้ที่นับถือศาสนาที่มีพระเจ้าองค์เดียว เพื่อให้ยอมรับการก่อตั้งครอบครัว

ทั้งนี้ องค์กรศาสนาที่เกี่ยวข้องควรดำรงบทบาทในการสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องต่อสาธารณะชน ตลอดจนเป็นองค์กรที่หาทางออกในเรื่องที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงค่านิยม รวมถึงควรทำหน้าที่ป้องกัน หรือระงับข้อพิพาททางความคิดของคนที่อยู่ร่วมกันทางสังคมในอนาคต

ส่วนประเด็นทางวัฒนธรรมควรมีมาตรการในเชิงสังคมหรือนโยบาย เพื่อรองรับการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว ให้เอื้อต่อการสร้างครอบครัวรูปแบบใหม่ๆ เช่น การกำหนดนโยบายส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรสเพศเดียวกัน หรือผู้ที่มีลักษณะข้ามเพศ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองและบุตร

ด้าน "นายเสรี สุวรรณภานนท์" สมาชิกวุฒิสภา อภิปรายว่า เรื่องความเท่าเทียมเห็นได้ว่า พยายามเรียกร้องมาโดยตลอด จะเห็นได้ว่าถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหลายฉบับ และค่อยๆพัฒนาขึ้น เพียงแต่ปัญหาเรื่องเพศไม่ค่อยยอมรับกันเท่าไหร่ในโลกความเป็นจริง แม้จะพบเจอกันคนใกล้ตัวเสมอมา

"ผมได้พบตั้งแต่สมัยมัธยม ก็มีเพื่อนมีรุ่นน้องโรงเรียนผม เป็นโรงเรียนชาย ก็มีเพื่อนนักเรียนเหล่านี้ มีพฤติกรรมแสดงออกไปในแนวทางคนละเพศกัน แรกๆ ก็อาจจะดูว่าแปลกออกไป แต่ด้วยเวลาที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่าสังคมได้ยอมรับมากขึ้น ตอนแรกต้องปิดๆ บังๆ แอบๆ แต่เมื่อสังคมยอมรับมากขึ้น ก็มีความชัดเจน" นายเสรี กล่าว

 

อย่างไรก็ตาม ย้ำว่าเรื่องเพศเป็นสิ่งที่ปฏิเสธและหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปัจจุบันโลกเจริญขึ้นมาก เป็นเรื่องที่แปลก ธรรมชาติสร้างให้มีหญิงกับชาย แต่ธรรมชาติเองกลับสร้างให้ชายเป็นหญิง หรือหญิงเป็นชาย แล้วจำนวนคนมากขึ้น

 

"ผมคิดว่าถึงเวลาที่เราต้องยอมรับความจริงในสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้น เพียงแต่ว่าเราจะทำให้เขาอยู่อย่างไรในสังคมปัจจุบัน ผมยอมรับได้ว่ากฎหมายฉบับนี้ผ่านสภาผู้แทนราษฎรมา มีภาคประชาชนเสนอกฎหมายเหล่านี้เข้ามา แสดงว่าประชาชนต้องการ เราคงจะไม่ตัดสินใจหรือพิจารณาตามกระแส แต่ต้องพิจารณาตามเหตุผล" นายเสรี กล่าว

 

อย่างไรก็ดี หากกฎหมายบังคับใช้แล้ว ต้องไปดูอีกด้านหนึ่งด้วย ให้เขาใช้ชีวิตด้วยกันได้ ไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบ ให้โอกาสแต่งงานกัน จดทะเบียนกัน แต่อยู่ได้พักเดียวก็เลิกกัน ก็กลายเป็นปัญหาสังคม ดังนั้น ต้องช่วยกันแก้ปัญหาเรื่องนี้ด้วย เช่น ก่อนจดทะเบียนสมรสกัน ให้อยู่ด้วยกันก่อน 6 เดือนได้หรือไม่ เมื่อเข้าเงื่อนไข ก็มาจดทะเบียนกัน 

 

"ผมก็คงเลี่ยงไม่ได้ ต้องยอมรับสภาพความเป็นจริงว่าในสังคมโลกปัจจุบันความจำเป็นที่จะต้องให้คนเพศเดียวกันอยู่ด้วยกัน หมั้นกัน สมรสกัน และเกี่ยวกับทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา หรือระหว่างบุคคล ถ้าหย่ากันผลจะเป็นอย่างไร ผมเรียนกฎหมายมา เป็นทนายความมา เพราะฉะนั้น กฎหมายมรดกมันเกี่ยวพันกันเชื่อมโยงกันหมด เราอย่าเพิ่งคิดว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นชัยชนะ เราต้องคิดไปไกลกว่านั้น" นายเสรี กล่าว

 

ขณะที่ "พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร" สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า  ความทุกข์ของประชาชน คือ เรื่องของ สว. และเรื่องนี้ต้องเห็นใจชาว LGBT ตนอยากให้กมธ. ปรับแก้ช่วงอายุในการสมรสเป็น 20 ปี เพื่อป้องกันปัญหาสังคมที่จะตามมา เช่น การล่วงละเมิดทางเพศ

ขณะเดียวกัน อยากให้กฎหมายฉบับนี้มีผลทันที ไม่จำเป็นต้องรอ 180 วัน เพราะมีคนจำนวนไม่น้อย รอคอยกฎหมายฉบับนี้อยู่ ได้ใช้กฎหมายนี้โดยเร็วที่สุด ส่วนกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่ต้องแก้ไขตาม คิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ เช่น การเปลี่ยนแบบฟอร์มในระบบราชการ เป็นต้น

ด้านตัวแทนภาคประชาชน ผู้เสนอกฎหมาย กล่าวว่า ในฐานะเยาวชนที่เป็นกะเทย ขอขอบคุณ สว. ที่เห็นคุณค่า เห็นศักดิ์ศรี และความเป็นอยู่ของ กลุ่ม LGBTQI+ นี่จะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ในการให้สิทธิ์ความเป็นธรรมทางเพศ ซึ่งมีความสำคัญต่อลมหมายใจของ LGBTQI+  เชื่อว่ามวลมนุษยชาติจะเห็นว่า การให้สิทธิ์กับพวกเรานั้น เป็นการต่อลมหายใจของพวกเราจริงๆ

ก่อนท้ายสุดที่ประชุมมีมติเห็นชอบ 147 เสียง ไม่เห็นชอบ 4 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง จากสมาชิก 158 คน หลังจากนี้จะตั้งคณะ กมธ.วิสามัญขึ้นมาศึกษาจำนวน 27 คน กำหนดแปรญัตติภายใน 7 วัน

logoline