
15 พฤศจิกายน 2566 ที่ทำเนียบรัฐบาล รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวถึงกระแสวิจารณ์นโยบายแจก “เงินดิจิทัล” วอลเล็ตของรัฐบาลไม่ตรงปกว่า มองเป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทย “เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ดี” เปรียบเป็นสภาวะทางสองแพร่งสำหรับรัฐบาลพอสมควร เพราะถือเป็นนโยบายหลักที่ใช้ในการหาเสียง ถ้าเกิดถอยกระบวนการตั้งคำถามก็จะเกิดขึ้น พรรคเพื่อไทยเองก็ไม่สามารถล้มเลิกนโยบายนี้ได้
อีกทั้งต้องยอมรับว่า ในช่วงของการข้ามขั้วทางการเมือง เครดิตและความเชื่อมั่นของพรรคเพื่อไทย ก็เป็นปัญหาใหญ่ แต่เมื่อข้ามขั้วแล้วนโยบายและผลงานก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลจะถอยไม่ได้ในเรื่องนี้ ขณะเดียวกันถ้าเดินหน้าก็จะต้องถูกกระบวนการตรวจสอบจากหลายหน่วยงาน เช่น ป.ป.ช. ซึ่งมีคณะทำงานขอข้อมูลในหลายเรื่อง รวมถึงหลักฐานที่เกี่ยวข้องไปดูทั้งหมด
หรือแม้การถูกวิจารณ์จากสังคม ก็ถือมีส่วนสำคัญในการตรวจสอบเหมือนกัน รวมไปถึงข้อกฎหมายต่างๆ เช่น กฎหมายวินัยการเงินการคลัง เรื่องการเสนอ พ.ร.บ.กู้เงิน ว่าจะขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ จะมีคนไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือเปล่า ที่จะคล้ายกับกฎหมายเงินสองล้านล้านบาทในสมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทุกอย่างถือเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ เรื่องทางกฎหมายและทางการเมืองด้วย
เมื่อถามว่า หากสุดท้ายกฎหมายไม่ผ่านทั้งสภาผู้แทนราษฎร หรือศาลรัฐธรรมนูญ รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบอย่างไร รศ.ดร.ยุทธพร กล่าวว่า ปกติตามธรรมเนียม นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล จะต้องแสดงความรับผิดชอบ แม้ว่ากฎหมายไม่ได้เขียนเอาไว้ ว่าจะต้องทำอย่างไรในกรณีกฎหมายสำคัญไม่ผ่าน แต่คงต้องแสดงความรับผิดชอบ
รศ.ดร.ยุทธพร ในฐานะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทาง ในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหา ความเห็นที่แตกต่างในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ยังกล่าวถึงแนวทางการทำประชามติว่า เรื่องการทำประชามติอย่างน้อยในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเห็นชอบให้ทำ 2 ครั้ง ซึ่งการทำประชามติต้องพิจารณาทั้งในแง่กฎหมายและประเด็นทางการเมือง รวมทั้งต้องให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อหาข้อสรุปร่วมกันในการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย
ส่วนตัวคิดว่า จะต้องทำประชามติ 2-3 ครั้ง จึงจะสามารถทำให้ประชามติเป็นเครื่องมือที่สำคัญ การแก้ไขต้องสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นสองส่วน คือ สมดุลในเรื่องของความเป็นไปได้ และสมดุลเรื่องความลงตัว ซึ่งเนื้อหารัฐธรรมนูญจะต้องเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย สามารถยืนอยู่ได้ในระยะยาว ส่วนองค์กรผู้ร่างรัฐธรรมนูญ วันนี้ตกผลึกร่วมกันแล้วว่า จะต้องเป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)
ส่วนที่มาของ ส.ส.ร.จะต้องหารือกันในรายละเอียด เมื่อตั้ง ส.ส.ร.ลงตัวแล้ว จะเข้าสู่กระบวนการประชามติเลยหรือไม่ หรือต้องกลับไปที่รัฐสภาอีก ต้องไปดูเชิงเทคนิคของกฎหมายมหาชน ขณะที่กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ จะต้องเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมให้กับประชาชนทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ในการมารับฟังความคิดเห็น เหล่านี้จะทำให้เกิดความลงตัวในเรื่องของเนื้อหา
“ตอนนี้ที่หนักใจคือ เรื่องของการทำประชามติ เพราะมีกฎหมายประชามติเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งต้องใช้เสียงข้างมากสองชั้น ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดเรื่องของการรณรงค์ให้มีการโนโหวต นั่นคือ การให้อยู่บ้าน ไม่ออกมาใช้สิทธิ์ ทำให้เสียงประชามติไม่ถึงกึ่งหนึ่ง และตกม้าตายไปตั้งแต่ขั้นตอนแรกเลย มันมีโอกาสเป็นไปได้ แต่ถ้าเสียงขั้นตอนแรกเกินกึ่งหนึ่ง ขั้นตอนที่สองก็เกินกึ่งหนึ่งอีก กระบวนการทำประชามติก็จะได้รับความเห็นชอบต่อไป”
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะต้องแก้ไข พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ.2564 ก่อนใช่หรือไม่ นายยุทธพร ชี้แจงว่า มีโอกาสที่จะต้องทำอย่างนั้น เพื่อที่จะทำให้โอกาสของการทำประชามติเป็นไปได้ แนวทางแก้มี 2 ทางคือ ทำให้เหลือเสียงข้างมากชั้นเดียว กับเสียงข้างมากยังเป็นสองอยู่ แต่ในชั้นที่สองอาจจะลดสัดส่วน ไม่ต้องถึง 50%