
2 พฤศจิกายน 2566 เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ ห้องพิจารณา 806 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ที่กลุ่มพันธมิตรฯ ร่วมกันชุมนุมที่ พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรฯ และอดีตแนวร่วมคนอื่นๆ รวม 21 คน เป็นจำเลยในความผิดฐาน ร่วมกันใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน
กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 25 พฤษภาคม - 7 ตุลาคม 2551 จำเลยซึ่งเป็นแกนนำได้ชักชวนประชาชนเข้าร่วมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อกดดัน ก่อความวุ่นวายให้นายสมัคร สุนทรเวช ลาออกจากนายกรัฐมนตรี และปิดล้อมสภาสถานที่ราชการ เพื่อมิให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และคณะร่วมแถลงนโยบาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116,215,216,309,310 จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีนี้เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2562 ศาลอาญา พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การชุมนุมของพวกจำเลย เป็นการเเสดงสัญลักษณ์ ปราศรัยที่สมเหตุผล ห้ามปรามไม่ให้ก่อความรุนเเรง ถือเป็นการชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 มาตรา 63 ได้รองรับไว้ เเละเเม้จะมีการกีดขวางกระทบการจราจรไปบ้าง เเต่ก็เป็นปกติของการชุมนุมเเสดงออกตามสิทธิ การชุมนุมตั้งเเต่วันที่ 5-7 ตุลาคม 2551 ไม่ปรากฏว่ามีความรุนเเรงหรือมีผู้ใดฝ่าฝืนทำให้ทรัพย์สินเสียหาย พิพากษายกฟ้อง
อัยการโจทก์ ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษ พวกจำเลยด้วย
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า พวกจำเลย ร่วมกันชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ต่อสู้ตามหลักอหิงสา อีกทั้งศาลปกครองเคยมีคำวินิจฉัยว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมโดยใช้แก๊ซน้ำตา เป็นการกระทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ ตามสิทธิขั้นพื้นฐานในการชุมนุม ตามรัฐธรรมนูญ ปี 2550 รวมทั้งคณะกรรมการสิทธิ มนุษยชน (กสม.) มีความเห็นเป็นการกระทำละเมิดต่อสิทธิมนุษยชน
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยมานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
โดยในวันนี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล กับพวก เดินทางมาฟังคำพิพากษาโดยพร้อมเพรียง มีกลุ่มมาที่สนับสนุนเดินทางมอบช่อดอกไม้เป็นกำลังใจด้วย
นายประพันธ์ คูณมี สมาชิกวุฒิสภา หนึ่งในจำเลยในคดีนี้ เปิดเผยหลังศาลอ่านคำพิพากษาว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในวันที่ 7ตุลาคมปี 2551 นั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เหตุการณ์ความวุ่นวาย ที่เกิดขึ้นนั้นมาจากการที่ตำรวจใช้กำลังและแก๊สน้ำตาสลายการชุมนุม โดยที่ผู้ชุมนุมไม่ทันตั้งตัวและไม่ได้เตรียมการมาเพื่อก่อเหตุความรุนแรง ซึ่งก่อนเกิดเหตุนั้นการชุมนุมก็เป็นไปด้วยความสงบไม่ได้เกิดความวุ่นวายแต่อย่างใด อีกทั้งการสลายการชุมนุมไม่ได้เป็นไปตามขั้นตอน คือ ไม่ได้มีการประกาศเตือน เจรจา หรือใช้รถน้ำ
ส่วนทางโจทก์จะมีการยื่นฎีกาต่อหรือไม่นั้น ตนเห็นว่า สองศาลยกฟ้องแล้วคดีควรจะต้องถึงที่สุดแล้ว แต่มีหนึ่งในผู้พิพากษาที่อยู่ในองค์คณะทำความเห็นแย้ง ก็อาจเป็นข้ออ้างให้พนักงานอัยการยื่นฎีกาได้ ซึ่งจะต้องขอความเป็นธรรมไปยังอัยการสูงสุด เพื่อขอให้พนักงานอัยการไม่ยื่นฎีกา
ส่วนจุดยืนทางการเมืองของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจากนี้นั้น ปัจจุบันแกนนำก็ได้สลายตัวกันไปหมดแล้ว การชุมนุมทางการเมืองที่จะมีขึ้นในอนาคตนั้น เป็นเรื่องของกลุ่มอื่น ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาชนและประชาธิปไตยแต่อย่างใด เพราะที่ผ่านมา ได้ทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองมามากพอแล้ว
สำหรับคดีนี้เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2562 ศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การชุมนุมของพวกจำเลย เป็นการเเสดงสัญลักษณ์ ปราศรัยที่สมเหตุผล ห้ามปรามไม่ให้ก่อความรุนเเรง ถือเป็นการชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 มาตรา 63 ได้รองรับไว้ เเละเเม้จะมีการกีดขวางกระทบการจราจรไปบ้าง เเต่ก็เป็นปกติของการชุมนุมเเสดงออกตามสิทธิ การชุมนุมตั้งเเต่วันที่ 5 -7 ตุลาคม 2551 ไม่ปรากฏว่ามีความรุนเเรง หรือมีผู้ใดฝ่าฝืนทำให้ทรัพย์สินเสียหาย จึงพิพากษายกฟ้อง ซึ่งต่อมาพนักงานอัยการได้ยื่นอุทธรณ์