
9 ตุลาคม 2566 ที่ประชุมวุฒิสภา มีมติเสียงข้างมาก 174 ต่อ 7 เสียง งดออกเสียง 10 เสียง ไม่เห็นชอบอนุญาตให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำตัวนายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา ไปทำการสอบสวน และแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติออกหมายเรียกตัวนายอุปกิต เพื่อไปสอบสวน และแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ตามมาตรา 11/7 ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด ในฐานะผู้ต้องหาในคดีอาญา ตามมาตรา 127 ของประมวลกฎหมายยาเสพติด
อย่างไรก็ตาม แม้นายอุปกิต จะยืนยันความพร้อมในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ และไม่ประสงค์ให้ผู้ใด นำเรื่องดังกล่าวไปเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์จนกระทบต่อวุฒิสภา และเพื่อปกป้องเกียรติ และศักดิ์ศรีของตนเอง และครอบครัว เพราะก่อนมาทำหน้าที่วุฒิสภา ได้ถอนชื่อออกจากกรรมการผู้ถือหุ้นของบริษัทเอกชน ที่ถูกกล่าวหามีการฟอกเงินไปแล้ว จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับการบริหาร และระหว่างการเป็นกรรมการผู้ถือหุ้น ก็ดำเนินกิจการอย่างถูกต้องมาโดยตลอด และยอมรับว่า ตนเองทุกข์ทรมานมามากกว่า 1 ปี เนื่องจากบุคคลที่รู้จัก และลูกเขย ถูกจับ รวมทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากหลายฝ่าย
ขณะที่ การอภิปรายของสมาชิกวุฒิสภาส่วนใหญ่ แสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ เอกสิทธิ์สมาชิกรัฐสภา มาตรา 125 ของรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถขอสละได้ เพราะเป็นเรื่องของสมาชิกรัฐสภาที่ต้องทำหน้าที่ โดยเฉพาะในการลงมติ ที่เสียงก้ำกึ่ง ดังนั้น เพื่อให้สมาชิกรัฐสภา สามารถได้ทำได้หน้าที่อย่างสมบูรณ์ ป้องกันการถูกกลั่นแกล้งหากต้องทำหน้าที่เป็นปฏิปักษ์กับหน่วยงานราชการ หรือกระทบต่อเอกชนในระหว่างสมัยประชุม จึงต้องมีกฎหมาย ปกป้องเอกสิทธิ์การทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาให้มีความสมบูรณ์
และยังเรียกร้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงว่า นายอุปกิต มีความผิดร้ายแรงถึงขั้นต้องออกหมายเรียกเลยหรือไม่ และหากมีความผิดจริง ตามที่ปรากฏในเอกสาร ขอให้พนักงานสอบสวน เข้ามาชี้แจงต่อที่ประชุมวุฒิสภาด้วยตัวเอง ซึ่งหากมีความชัดเจนตามหมายเรียก ก็เชื่อว่า สว. ก็พร้อมที่จะส่งตัวนายอุปกิต ตามกระบวนการของกฎหมาย
ทั้งนี้ ตามมาตาม 125 วรรค 1 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติว่าในระหว่างสมัยประชุมห้ามมิให้จับ คุมขัง หรือหมายเรียกตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ สส. และสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว.ไปทำการสอบสวนในฐานะที่เป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากสภาที่ สส. หรือ สว.นั้นเป็นสมาชิก