
ถ้าถือเอาเส้นเวลาของเหตุการณ์เฉพาะหน้า ปัญหาจาก “กรณีนครปฐม” ที่มีการสังหาร พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว และยังนำไปสู่การปลิดชีพตนเองของ พ.ต.อ.วชิรา ยาวไทยสงค์ นั้น เป็นคดีที่ส่งผลสะเทือนในสังคมอย่างมาก
“ศ.กิตติคุณ ดร. สุรชาติ บำรุงสุข” ให้ความเห็นกับ “เนชั่น” ไว้ว่า ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในทางคดีจะเป็นเช่นไรก็ตาม แต่ปัญหาเช่นนี้ทำให้สังคมมีความรู้สึกร่วมกันประการหนึ่ง (และว่าที่จริงมีความรู้สึกร่วมมานาน) ที่อยากเห็น “การปฏิรูปตำรวจ” เกิดขึ้นจริง ๆ เพื่อทำให้ตำรวจเป็น “ผู้พิทักษ์สันติราษฏร์” ดังส่วนหนึ่งของเพลงมาร์ชตำรวจที่กล่าวว่า “เราอยู่ไหน ประชาอุ่นใจทั่วกัน”
ดังนั้น ถ้าการปฏิรูปตำรวจเกิดขึ้นได้จริงในอนาคต ก็จะต้องไม่ใช่ปฏิรูปตามแนวทางของคณะรัฐประหาร 2557 และกลุ่ม ส.ว. ฝ่ายขวา ที่ชอบโฆษณาในเรื่องการปฏิรูปตำรวจ แต่สุดท้ายแล้ว ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นจริงจัง
แม้จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญที่มีการระบุถึงกิจการตำรวจในกฎหมาย (ถ้ามองในทางรัฐศาสตร์ต้องว่าเป็นเรื่อง “ตลกสุดๆ” ที่ถึงขนาดต้องเอาเรื่องตำรวจใส่ในกฎหมายรัฐธรรมนูญด้วย 55!) พร้อมกับมีการจัดทำกฎหมายตำรวจใหม่ แต่ก็เพื่อให้ผู้นำรัฐประหารเข้ามาควบคุมองค์กรตำรวจได้มากขึ้น โดยใช้อำนาจผ่าน “คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ” (ก. ตร.)
แต่ผลพวงจากปัญหาต่าง ๆ ที่สะสมมาจากบทบาทของตำรวจและทหาร โดยเฉพาะนับจากรัฐประหาร 2557 เป็นต้นมา ทำให้เสียงเรียกร้องการปฏิรูปตำรวจเกิดคู่ขนานกับการปฏิรูปกองทัพ แม้มิติของการปฏิรูปใน 2 ส่วนนี้อาจจะแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขของบทบาท ภารกิจ และพฤติกรรมของบุคคลาการและองค์กร แต่โดยหลักการแล้ว ทิศทางไม่ได้แตกต่างกัน
ถ้าการปฏิรูปกองทัพต้องการสร้าง “ทหารอาชีพ” (professional soldier) เช่นไร การปฏิรูปตำรวจก็ต้องการสร้าง “ตำรวจอาชีพ” (professional police) เช่นนั้น
เป้าหมายหลักของการปฏิรูปองค์กรทั้งสองจึงไม่ได้แตกต่างกัน กล่าวคือ สร้างทหารให้มีความเป็นวิชาชีพเช่นไร ก็ต้องสร้างตำรวจให้มีความเป็นวิชาชีพเช่นนั้น
ถ้าเราไม่ต้องการเห็น “ทหารการเมือง” ฉันใด เราก็ไม่ต้องการเห็น “ตำรวจการเมือง” ฉันนั้น!
ถ้ากองทัพไม่เป็น “ทหารอาชีพ” แล้ว ภารกิจของการป้องกันประเทศมักจะถูกเบี่ยงเบนออกไปสู่การมีบทบาททางการเมือง และเมื่อการป้องกันประเทศไม่ถูกนิยามให้เกิดความชัดเจนแล้ว บทบาททหารก็กลายเป็นเรื่องทางการเมือง และเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของกระบวนการสร้าง “ทหารการเมือง” ในสังคมไทย
ในทำนองเดียวกัน ถ้าตำรวจไม่เป็น “ตำรวจอาชีพ” หรือกลายเป็น “ตำรวจนอกแถว” แล้ว การรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หรือที่ในทางรัฐศาสตร์นั้น บทบาทของตำรวจที่สำคัญที่สุด คือการรักษา “ความปลอดภัยสาธารณะ” (public safety) อันมีนัยถึงความสงบเรียบร้อยทางสังคมนั่นเอง
ภาวะของ “ตำรวจนอกแถว” ทำให้ “ต้นทุนทางสังคม” ของสถาบันตำรวจในสังคมไทยลดต่ำลง จนแทบจะเป็น “องค์กรล้มละลาย” ในเชิงความน่าเชื่อถือของสังคม ทั้งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังมีตำรวจที่ทำหน้าที่ “พิทักษ์สันติราษฎร์” ให้แก่สังคมอีกเป็นจำนวนมาก
เราคงต้องยอมรับว่า ยังมีตำรวจทั้งสัญญาบัตรและประทวนที่ดีและปฎิบัติหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยสาธารณะจริงๆ ฉะนั้น ถ้าจะต้องแก้ปัญหาขององค์กรตำรวจแล้ว การปฏิรูปตำรวจเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นในตัวเอง
ไม่ว่าการปฏิรูปตำรวจจะสามารถเปลี่ยน “วัฒนธรรมองค์กรตำรวจ” สำเร็จหรือไม่ก็ตาม แต่อย่างน้อย การเริ่มต้นประกาศการปฏิรูปคือ จุดเริ่มของการสร้างความเปลี่ยนแปลง อันเป็นความหวังในการ “เพิ่มต้นทุนทางสังคม” ให้แก่องค์กรตำรวจ เนื่องจาก องค์กรตำรวจวันนี้ตกอยู่ท่ามกลาง “วิกฤตศรัทธา” ครั้งใหญ่ แฃะกำลังเกิดภาวะ “ขาดทุนทางสังคม” อย่างน่าเป็นห่วง
จนสังคมมองว่าถึงเวลาของการปฏิรูปตำรวจแล้ว และอยากเห็นการปฎิรูปตำรวจเกิดขึ้นจริง ๆ แต่บางส่วนเริ่มมองว่า ปัญหาตำรวจเกินเยียวยา และต้องการ “การปฏิวัติตำรวจ”
การปฏิรูปตำรวจต้องเริ่มด้วยหลักการพื้นฐานว่า ตำรวจเป็นผู้รักษากฎหมาย และตำรวจก็จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายด้วย
การเป็นผู้รักษากฎหมายไม่ใช่ปัจจัยที่อนุญาตให้ตำรวจมีอำนาจเกินกว่าขอบเขตที่กฎหมายกำหนด หรือมีอำนาจที่จะดำเนินการนอกกรอบทางกฎหมายได้ (ทหารก็ต้องอยู่ภายใต้หลักการนี้เช่นกัน)
ดังนั้น การปฎิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องถูกกำกับด้วย “ประมวลจริยธรรมและธรรมาภิบาลของวิชาชีพ” และประมวลนี้จะเป็นตัวกำหนดนิยามของความเป็น “ตำรวจอาชีพ” เพื่อกำหนดอำนาจ หน้าที่ และความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ในสังคม รวมถึงกำหนดสิ่งที่ตำรวจไม่ควรกระทำ และไม่อนุญาตให้กระทำ
การปฎิรูปตำรวจจะต้องอยู่ภายใต้ “ทิศทาง” 5 ประการหลัก ดังนี้
ทั้งหมดนี้ดำเนินการเพื่อให้ตำรวจอยู่ภายใต้กฎหมาย และปฎิบัติหน้าที่ภายใต้ข้อบังคับของ “ประมวลจริยธรรมและหลักธรรมาภิบาลตำรวจ” ซึ่งอาจจะดูเป็นเรื่องใหม่สำหรับองค์กรตำรวจไทย
แต่การจะทำให้บุคลากรเป็น “ตำรวจอาชีพ” ได้จริงนั้น การสร้างประมวลชุดนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญประการหนึ่ง
อีกทั้ง การปฏิรูปนี้ต้องกำหนด “เข็มมุ่ง” หลัก 5 ประการ ได้แก่
แน่นอนว่า การปฏิรูปตำรวจไทยภายใต้เงื่อนไขทางการเมืองและวัฒนธรรมองค์กรในแบบปัจจุบันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน เราคงต้องยอมรับความจริงว่า ผลประโยชน์จาก “กลุ่มสีเทา” ทั้งหลายยังมีอิทธิพลอย่างสูงในองค์กรตำรวจ รวมถึงอิทธิพลของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง และกลุ่มอำนาจในสังคม ที่มองว่าการปฏิรูปตำรวจคือ ภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ของพวกเขา (อาจไม่ได้แตกต่างจากการปฏิรูปกองทัพด้วย)
ฉะนั้น การปฏิรูปทั้งตำรวจและทหารจึงเป็นโจทย์ที่ท้าทาย รัฐบาลนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เป็นอย่างยิ่ง และโจทย์ตำรวจนั้น ท้าทายต่อตัวนายกรัฐมนตรีเองโดยตรง ในฐานะประธาน ก.ตร. และปัญหานี้เป็นสัมภาระที่กองอยู่บนโต๊ะทำงานของนายกรัฐมนตรีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย
ผลจากปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น คนบางส่วนเริ่มรู้สึกว่าสังคมต้องการ “ปฏิวัติตำรวจ” มากกว่า “ปฏิรูปตำรวจ” แล้ว เพราะปัญหาต่าง ๆ รุมเร้าจนการปฏิรูปอาจไม่เพียงพอ แต่ในอีกด้านสังคมก็กังวลในทางกลับกันว่า รัฐบาลอาจดำเนินการในแบบ “ปฏิสังขรณ์ตำรวจ” แทนหรือไม่…
ถ้าปฏิรูปช้าแล้ว ปฏิสังขรณ์อาจช้ากว่ามาก แต่การปฎิวัติกิจการตำรวจไทย ก็อาจเป็นเพียงความฝันที่อยู่ไกล ๆ ถ้าเช่นนั้นแล้ว สังคมไทยจะเลือกแก้ปัญหาตำรวจในแบบใด ปฏิรูป ปฏิวัติ หรือปฏิสังขรณ์?
ป.ล. บทความนี้อยากจะจบด้วยการชวนท่านผู้อ่าน ที่เป็นตำรวจและไม่เป็นตำรวจ ลองเปิดยูทูปฟังเพลง “มาร์ชตำรวจ” เพื่อรำลึกถึงตำรวจอีกหลายท่านที่ปฏิบัติหน้าที่ “พิทักษ์สันติราษฎร์” ตามเนื้อหาของเพลง