
14 กันยายน 2566 นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี น.สพ.ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ใช้คำว่า “รัฐบาลนี้เป็นรัฏฐาธิปัตย์” ว่า ประเด็นที่โฆษกรัฐบาลแถลงข่าวนี้เข้าใจได้ว่ารัฐบาลต้องการที่จะยกเลิก หรือแก้ไขประกาศหรือคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดิน หรือต้องการที่จะยกเลิกแก้ไข ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล
ซึ่งเห็นด้วยในหลักการสามารถทำได้ แต่รัฐบาลต้องสั่งการให้มีการรวบรวม เพื่อแยกประกาศและคำสั่งของ คสช. ว่ามีสถานะเทียบลำดับชั้นกฎหมายว่าอยู่ในสถานะใด เพราะจะมีผลนำไปสู่วิธีการดำเนินการเพื่อยกเลิกหรือแก้ไขด้วยวิธีการที่ถูกต้องต่อไป
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เห็นด้วยที่จะให้มีการสังคายนาประกาศและคำสั่ง คสช. ที่เป็นอุปสรรคและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ข้อเท็จจริงในปัจจุบัน แต่ต้องทำให้ถูกต้องตามหลักการ ซึ่งการที่จะใช้คำว่า "รัฐบาลเป็นรัฏฐาธิปัตย์" ไม่ถูกต้อง ดูแล้วเหมือนเริ่มลุแก่อำนาจขาดการตรึกตรองที่ดี จะคิดว่าคำสั่งของรัฐบาลเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ออกกฎหมายได้เอง มีอำนาจสูงสุดคงผิดหลักการปกครองในระบบประชาธิปไตย
เพราะขณะนี้อำนาจในการตรากฎหมายออกกฎหมายเป็นของฝ่ายนิติบัญญัติ ยกเว้น กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง พระราชกฤษฎีกาที่รัฐบาลสามารถออกได้ แต่ต้องอยู่ภายในขอบเขตอำนาจที่ฝ่ายนิติบัญญัติมอบหมายไว้อย่างเคร่งครัด
“ฉะนั้นประกาศหรือคำสั่ง คสช. ต้องแยกให้ชัด เพราะมีบางส่วนที่จำต้องออกเป็นพระราชบัญญัติมาแก้ไขหรือยกเลิกเสียก่อน เหตุผลที่สำคัญ มีมาตรา 279 รัฐธรรมนูญกำหนดว่า คําสั่งและการกระทําของ คสช. ตลอดจนการปฏิบัติตามประกาศหรือคําสั่ง ให้มีผลใช้บังคับโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้ต่อไป การยกเลิก การแก้ไขเพิ่มเติมประกาศหรือคําสั่งดังกล่าว ให้กระทําเป็นพระราชบัญญัติ เว้นแต่ประกาศหรือคําสั่งที่มีลักษณะเป็นการใช้อํานาจทางบริหาร การยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมให้กระทําโดยคําสั่งนายกรัฐมนตรี หรือมติคณะรัฐมนตรี เมื่อรัฐบาลเข้ามาบริหารปกครองราชการแผ่นดิน สิ่งที่สำคัญการดำเนินการสิ่งใดควรตรวจดูกฎหมายให้ถี่ถ้วน ประเทศปกครองด้วยกฎหมาย ถ้ารัฐบาลละเมิดเสียเองแล้วประชาชนจะหวังอะไรก็ได้จากรัฐบาล การอ้างว่ารัฐบาลเป็นรัฏฐาธิปัตย์ เหมือนเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่ารัฐบาลนี้เริ่มต้นแล้วในการเดินเข้าสู่เส้นทางการใช้อำนาจตามอำเภอใจ”