เปรียบ"เพื่อไทย"พ่อเลี้ยงเดี่ยวกำลังโหยหาความรัก-ศรัทธาเพื่อตั้งรบ.

"ผศ.ดร.ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร" อาจารย์ประจำสำนักวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้วิเคราะห์ถึงทิศทางต่อจากนี้ หลัง MOU ระหว่างพรรคเพื่อไทย กับพรรคก้าวไกล ถูกฉีก ว่า การเมืองไทยผูกมัดตัวละครในการเซ็น MOU และตัวคู่พระนางก็คือเพื่อไทยกับก้าวไกล ซึ่งที่ผ่านมาก็ใช้เวทมนต์คาถาบนดินและใต้ดินผูกมัดกันไว้

ทั้งนี้ แต่ในท้ายที่สุดดูเหมือนว่าต้านทานกระแสของการอยู่รอดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ จึงต้องทำให้เกิดการแยกทางกันระหว่างคู่รัก แต่ในฐานะของการยกระดับมาเป็นผู้นำ แน่นอนว่าต้องมีลูกติด ซึ่งในแง่ของการเมืองหมายความว่าการเป็นหัวเรือใหญ่ ที่จะต้องดูแลลูกๆ ภายใต้การแบ่งสมบัติเก้าอี้และที่นั่งแน่นอนว่าต้องเกิดการแตกแยกกันภายในครอบครัวอีกครั้งนึง

สำหรับปัญหาของคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว คือ จะประณามจากสารพัดฝ่ายในกรณีของการแยกทางข้ามขั้ว ซึ่งทางเลือกเดียวที่จะสามารถทำได้ในระยะสั้นนั่นก็คือ การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง โดยเฉพาะหากต้องการเรียกศรัทธาเข้ามาตอบสนองและสร้างความชอบธรรมทางด้านการเมือง เป้าหมายของการปรับแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ในบางประเด็นสร้างความบิดเบี้ยวให้กับระบบการเมืองอาจจะกลายเป็นภารกิจแรก หรือภารกิจสำคัญที่ไม่ด้อยไปกว่าการพยายามใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบประชานิยม

ขณะเดียวกัน ที่ต้องตระหนักมากขึ้นไปกว่าเดิมอีกหลายก็คือกระแสการเมืองไทยที่เน้นจุดยืนทาง เพราะด้านการเมืองเคยพิสูจน์มาแล้วว่า สามารถที่จะเอาชนะนโยบายประชานิยม ฉะนั้นการสร้างจุดยืนว่าประชานิยมจะสามารถเป็นยาสามัญประจำบ้าน แก้ไขปัญหาทุกอย่างหรือแม้กระทั่งเรียกกระแสความนิยมทางด้านการเมือง อาจจะไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้องอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม ทั้งในแง่ของคนไทยตระหนักรู้และเท่าทันข้อดี ข้อเสีย ของประชานิยม การมีกฎหมาย และพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับวินัยการเงินการคลัง บทพิสูจน์ในยุครัฐบาลประยุทธ์และในห้วงระยะเวลาของการเลือกตั้งจึงเป็นข้อพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าประชานิยม ถูกย่นย่ออยู่ภายใต้วลีเดียวคือ "รับแต่ไม่รัก" 

สำหรับบทสรุปขั้นตอนต่อไปของการจัดตั้งรัฐบาลด้านก็คือคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวจะต้องโหยหาซึ่งความรักและความศรัทธาและกลายภารกิจหลักที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการดูแลผลประโยชน์ของลูกคนใหม่ญาติติโกโหติกาที่ติดพ่วงเข้ามาสารพัด