svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"รศ.หริรักษ์" ตีแสกหน้า 115 อาจารย์นิติศาสตร์ ชี้ข้อบังคับ 41 ทำตามรธน.

"รศ.หริรักษ์" ตีแสกหน้า 115 คณาจารย์นิติศาสตร์ ชี้ข้อบังคับรัฐสภาไม่อาจอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ แต่รธน.กำหนดให้รัฐสภา จัดทำข้อบังคับการประชุม การเสนอชื่อนายกฯ จึงเป็นญัตติ เชื่อศาลรธน.ไม่รับวินิจฉัย ระบุ 4 ส.ค. โหวตนายกฯคนใหม่แน่

30 กรกฎาคม 2566 รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า อาจารย์นิติศาสตร์ 115 คนจากทั่วประเทศ ร่วมลงชื่อในแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยที่รัฐสภามีมติว่า(คลิกอ่านรายละเอียด) การเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการเสนอญัตติซ้ำ ทำให้ไม่อาจเสนอชื่อนายพิธาเป็นครั้งที่ 2 ได้ ตามข้อบังคับรัฐสภาข้อ 41 เป็นการทำให้มติรัฐสภาใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ อันจะทำให้การสอนลำดับชั้นของกฎหมายยากที่จะทำได้ ก่อนหน้าแถลงการณ์ดังกล่าว ก็มีนักกฎหมายชั้นนำของประเทศ 2 ท่านออกมาแสดงความเห็นแบบเดียวกัน ดังนั้น เพื่อความกระจ่างเราลองนำข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่ต้องนำมาพิจารณา โดยเริ่มกฎหมายรัฐธรรมนูญก่อน

รัฐธรรมนูญมาตรา 159 บัญญัติว่า ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบ บุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี จากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 และเป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อ ที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 .. 

รัฐธรรมนูญมาตรา 272 บัญญัติว่า ในระหว่าง 5 ปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ การให้ความเห็นชอบ บุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ให้ดำเนินการตามมาตรา 159 เว้นแต่การพิจารณาให้ความเห็นขอบตามมาตรา 159 วรรคหนึ่ง ให้กระทำในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา และมติที่ให้ความเห็นชอบบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 159 วรรคสาม ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่ง ของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

จะเห็นว่ารัฐธรรมนูญทั้งมาตรา 159 และมาตรา 272 เพียงระบุว่า ให้พิจารณาให้ความเห็นชอบ บุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นายกรัฐมนตรีเท่านั้น ไม่มีรายละเอียดอื่นๆแต่อย่างใด

แน่นอนว่า ข้อบังคับรัฐสภาไม่อาจอยู่เหนือรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ประเด็นนี้ไม่ต้องถกเถียงกัน และผู้ที่สอนกฎหมายก็ไม่เห็นจะมีความยากลำบาก ในการสอนลำดับชั้นของกฎหมายตรงไหน เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 128 และมาตรา 157 กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาไปจัดทำข้อบังคับการประชุมของแต่ละสภา เพื่อใช้ดำเนินการประชุม และให้จัดทำข้อบังคับการประชุมเป็นการเฉพาะ เพื่อใช้สำหรับการประชุมรัฐสภา ซึ่งหมายถึงการประชุมร่วมกันของ 2 สภา

ด้วยเหตุนี้ ข้อบังคับการประชุมของรัฐสภา จึงมาจากรัฐธรรมนูญ มิใช่เป็นการกำหนดขึ้นเอง ซึ่งเท่ากับว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 128 และมาตรา 157 อนุญาตให้รัฐสภาสามารถออกข้อบังคับ เพื่อกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการประชุมได้เอง เมื่อรัฐธรรมนูญมาตรา 272 เพียงระบุว่า การให้ความเห็นชอบ บุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ให้กระทำในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยไม่มีรายละเอียดอื่นใด ดังนั้นรายละเอียดในการดำเนินกาารประชุม จึงควรเป็นไปตามข้อบังคับการประชุมของรัฐสภา

ข้อบังคับรัฐสภาข้อ 36 ระบุว่า “ญัตติที่ไม่ต้องเสนอล่วงหน้า เป็นหนังสือให้ผู้รับรองญัตติให้การรับรอง โดยวิธียกมือขึ้นพ้นศีรษะ เว้นแต่การรับรองการเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามข้อ 136” และข้อบังคับรัฐสภาข้อ 41 ระบุว่า “ญัตติใดตกไปแล้ว ห้ามนำญัตติซึ่งมีหลักการเดียวกันขึ้นเสนออีกในสมัยประชุมเดียวกัน เว้นแต่ญัตติที่ยังมิได้มีการลงมติ หรือญัตติที่ประธานสภาจะอนุญาต ในเมื่อพิจารณาเห็นว่าเหตุการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป”

คำถามคือ ข้อบังคับทั้ง 2 ข้ออยู่เหนือรัฐธรรมนูญตรงไหน

ในการประชุมรัฐสภาวันที่ 19 กรกฎาคม แม้ว่าจะมีผู้เสนอว่า การเสนอชื่อผู้ซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องถือเป็นญัตติ ดังนั้นต้องเป็นไปตามข้อบังคับข้อ 41 แต่แทนที่จะลงมติว่า การเสนอชื่อดังกล่าวเป็นญัตติหรือไม่ โดยดูที่ข้อบังคับข้อ 36  แต่กลับไปให้ลงมติว่า การเสนอชื่อนายพิธาให้รัฐสภาโหวตเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบ ขัดกับข้อบังคับการประชุมข้อ 41 หรือไม่ ซึ่งหากพิจารณาจากข้อบังคับข้อ 36 ก็จะเห็นว่าการเสนอชื่อผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นญัตติอย่างแน่นอน ดังนั้นไม่สามารถเสนออีกครั้งได้ หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ขณะนี้มีผู้ยื่นเรื่องร้องเรียนไปที่สำนักงานผู้ตราวจการแผ่นดินถึง 17 ราย เพื่อให้ผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า มติรัฐสภาเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งมีแนวโน้มสูงว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับวินิจฉัย เนื่องจากพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 (8) ระบุว่า ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่พิจารณาวินิจฉัย คดีเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ของร่างข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ร่างข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา และร่างข้อบังคับการประชุมรัฐสภา เท่านั้น

ดังนั้นจึงน่าจะฟันธงได้เลยว่า ในการประชุมรัฐสภาวันที่ 4 สิงหาคม จะมีญัตติการเสนอชื่อผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ใช่คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ค่อนข้างแน่

เราลองมองอีกมุม ลองพิจารณาว่า เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญคืออะไร มาตรา 88 กำหนดให้พรรคการเมืองสามารถเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้ไม่เกิน 3 ชื่อ หากพรรคการเมืองพากันเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐธรรมนูญ พรรคละ 3 ชื่อ และเมื่อพรรคที่ได้สส.มาเป็นอันดับที่ 1 เสนอชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการเแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบ เมื่อไม่ผ่านก็เสนอเข้ามาอีก และเสนอเข้ามาอีก จนกว่าจะเห็นว่าไม่มีโอกาสแล้ว จึงเสนอชื่อที่ 2 และชื่อที่ 3 ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะผ่าน เช่นนี้จะต้องใช้เวลานานเท่าใด จะเป็นไปได้หรือว่า นี่คือเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ

ไม่ว่าจะพิจารณาในมุมใด คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็ไม่มีทางได้รับการเสนอชื่อ เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบอย่างแน่นอน