svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"วงเสวนา 91 ปี ประชาธิปไตย" เห็นพ้องไทยควรแก้รธน. ให้ทันยุคสมัย

“อภิสิทธิ์-ปิยบุตร-โภคิน” เห็นตรงกัน แก้รัฐธรรมนูญเหมาะสมการเมืองไทย ชี้ต้องมีเนื้อหาสั้น กระชับ เน้นบทบาท ความสัมพันธ์ภาครัฐ กับประชาชน แนะควรวางกติกาให้ยึดอำนาจไม่ได้-ศาลปกป้องระบอบประชาธิปไตยตามคำสัตย์ปฏิญาณ ส่วนกติกาเลือกตั้งอยู่ในกฎหมายประกอบ 

24 มิถุนายน 2566 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดกิจกรรมเชิดชูครูกฎหมาย ศาสตราจารย์ไพโรจน์ ชัยนาม ครั้งที่ 11 โดยในช่วงเช้ามีพิธีสงฆ์ ทำบุญถวายสังฆทาน จากนั้นมีการเสวนาวิชาการ ในหัวข้อ 91 ปีประชาธิปไตยกับก้าวต่อไปหลังการเลือกตั้ง 2566 : กฎกติกาทางรัฐธรรมนูญที่เหมาะสมสำหรับการเมืองไทย 

โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี นายโภคิน พลกุล ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศ พรรคไทยสร้างไทย รศ.ดร.เจษฎ์ โทณวณิก นักวิชาการทางกฎหมาย นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า ร่วมเสวนา

โภคิน พลกุล ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศ พรรคไทยสร้างไทย

นายโภคิน กล่าวว่าที่ผ่านมาปัญหาของประเทศเกิดจากการถูกขับเคลื่อนด้วย 3 ส่วน ศักดินานิยม อำนาจนิยม และประชาธิปไตย จนถึงปัจจุบันก็ยังมีแกนหลักเป็นความคิดและวัฒนธรรมแบบอำนาจนิยม ส่งผลถึงระบบการศึกษา ที่จะเห็นว่ามีระบบโซตัส เป็นวัฒนธรรมที่เกาะกิน  พร้อมยกตัวอย่างสมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีการแบ่งสิงห์ดำ สิงห์แดง ตำรวจก็แบ่งนายร้อย จปร. นายร้อยอบรม ประชาชนอยู่ห่างออกไป ขณะที่กลไกข้าราชการคือปีศาจ เพราะแม้แต่รัฐมนตรีเมื่อเข้าไปบริหารก็เป็นทาสข้าราชการ เพราะมีระเบียบอยู่ 

การแก้รัฐธรรมนูญมีปัญหา ถ้าจะแก้ใหม่เว้นหมวด 1 หมวด 2 และให้มีการนำร่างที่ถูกตีตกขึ้นมาทำใหม่  โดยสิ่งที่ต้องตอบโจทย์คือจะวางกติกาอย่างไรให้ยึดอำนาจไม่ได้ รัฐธรรมนูญทุกฉบับไม่ว่าชั่วคราวหรือถาวรสิ่งที่ไม่เคยแตะเลยคืออำนาจเป็นของประชาชน  

"ต่อไปนี้การยึดอำนาจให้ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายล้มล้างรัฐธรรมนูญ และให้ถือเป็นประเพณีที่สำคัญที่สุดของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หากยึดอำนาจก็จะติดคุกถูกดำเนินคดีและศาลต้องให้สัตย์ปฏิญาณว่ามีหน้าที่ปกป้องรัฐธรรมนูญ"

 

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี

ด้านนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าการมาร่วมงานวันนี้ทำให้นึกนึงตอนเป็นอาจารย์ ซึ่งขณะนั้นมีการร่างรัฐธรรมนูญ ในปี 2534 ผ่านมา 30 ปี ก็ยังเป็นแบบเดิม ยืนยันรัฐธรรมนูญ 60 ไม่ใช่กติกาที่จะแก้ปัญหาประเทศได้ ซึ่งนายเจษฎ์ที่เป็นคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญก็ยอมรับว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นตามที่นักวิชาการออกแบบ 

นายอภิสิทธิ์ ยังมองเรื่องการทำประชามติ ที่มี 2 ครั้ง ว่าสอดคล้องกับเงื่อนไขทุกประการแต่ไม่ทราบว่าตอนนี้ได้ข้อยุติแล้วหรือไม่ เมื่อเรื่องนี้เป็นเงื่อนไขไม่สามารถเดินต่อได้ และคงต้องรื้อฟื้นกระบวนการทำประชามติ ซึ่งเลวร้ายสุดคือต้องรอ ส.ว.ชุดใหม่ และหวังทุกพรรคเห็นตรงกัน

หากต้องจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่จากหมวด 3 เป็นต้นไป โจทย์สำคัญคือกระบวนการที่ทำให้ทุกฝ่ายยอมรับ ทำให้ทุกคนเป็นเจ้าของ และหัวใจของการเขียนกติกาใหม่ คือ หวังว่าเราจะกลับไปสู่การมีรัฐธรรมนูญที่ค่อนข้างสั้น เพราะเมื่อใส่เนื้อหาเยอะทำให้ประเด็นหลักถูกบดบัง เหมือนหาเสียงให้รัฐธรรมนูญ และควรกำหนดบทบาทภาครัฐกับความสัมพันธ์กับประชาชน ดังนั้น สิทธิเสรีภาพสำคัญ อาจครอบคลุมถึงสวัสดิการ ที่ต้องไม่ให้ หรือทำอะไรกับประชาขน มีกลไกที่อิสระและศักดิ์สิทธิ์เพียงพอ  ส่วนเรื่องแนวนโยบายแห่งรัฐและแผนยุทธศาสตร์ ไม่ควรจะมี ควรให้น้ำหนัก กับการจัดรูปแบบความสัมพันธ์รัฐกับประชาชนอย่างไร

นอกจากนี้จะต้องไม่ย้อนหลัง วนเวียนเรื่องการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ตามรัฐธรรมนูญ หากดูในต่างประเทศจะเห็นว่าไม่ได้อิงกับรัฐธรรมนูญ แต่ต้องมีวัฒนธรรมทางการเมืองรองรับ พร้อมยกตัวอย่างประเทศอังกฤษ ที่สามารถตั้งคณะกรรมการธิการเสียงข้างมาก จนชี้ให้เห็นว่าอดีตนายกพูดเท็จต่อสภาและถูกตัดสินลงโทษ เพราะเขาไม่ได้คิดว่าให้รัฐบาลชนะทุกเรื่องจึงจะมีเสถียรภาพ ไม่มีเรื่องไม่ไว้วางใจ ไม่มีองค์กรอิสระ แต่การรับผิดชอบเกิดจากประเพณี เกิดจากสำนึกที่สร้างขึ้นมา เราต้องยอมรับว่าล้มเหลวในการสร้างสิ่งนี้ ในปี 2538  จากนั้นจึงมีการออกแบบ รัฐธรรมนูญ ปี 40 เพื่อแก้ปัญหา  ดังนั้นหากจะแก้หรือทำรัฐธรรมนูญใหม่ต้องยึดแบบเดียวกัน 

นายอภิสิทธ์ ยังระบุว่าที่เรามีปัญหาเพราะรัฐธรรมนูญปี 60 ไม่ได้ตั้งโจทย์ประเทศ แต่ตั้งโจทย์ให้ผู้มีอำนาจสืบทอดอำนาจ ตั้งแต่การทำประชามติไม่เสรี ผู้ร่างกระโดดมาเล่นเอง จากการแต่งตั้ง ส.ว. และตนไม่ได้มองตัวบุคคลแต่เชื่อว่าตั้งแต่มีองค์กรอิสระ หลังปี 2540 เป็นต้นมาความเชื่อถือในยุคนี้ต่ำที่สุด และแทบมองไม่เห็นว่าจะฟื้นกลับมาได้อย่างไร 

เราไม่ได้มองว่าควรมี ส.ว. องค์กรอิสระอย่างไร แต่ต้องตอบให้ได้ว่าจะถ่วงดุลอย่างไร ตนไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกองค์กรอิสระและส.ว. แต่มองเรื่องการสร้างสำนึก และมองว่าการที่ให้ศาลวินิจฉัยไปถึงจริยธรรม กลับยิ่งเป็นปัญหา หากยังทำไม่ได้ ต้องเลือกว่าจะให้ศาลมีบทบาทมากขึ้นหรือไม่ จะปรับอย่างไร  ถ้าไม่เอาศาลต้องออกแบบใหม่ให้เรียกความมั่นใจประชาชนกลับมาได้  ถ้า ส.ว.เป็นส่วนหนึ่งของการตรวจสอบ ถ่วงดุล แต่หากไม่ได้มาจากประชาชน ก็มองว่าให้อำนาจเขามากเกินไป สิ่งที่ยากในเรื่องนี้คือวิธีการ และหวังว่า 30 ปี ข้างหน้าตนคงไม่ต้องมานั่งแบบนี้อีก

นายอภิสิทธ์ ยังกล่าวด้วยว่าในตอนนี้ทุกคนกังวลเรื่องตั้งรัฐบาล แต่ตนก็คาดหวังว่าสภาจะให้ความสำคัญเรื่องนี้เป็นลำดับต้นๆ ด้วย

นอกจากนี้ยังตั้งคำถามว่า มี ส.ว.ไว้ทำไม 30 ปีในทางการเมืองเห็นช่องโหว่ในการหาวิธีแทรกแซง จึงต้องสร้างกติกาพร้อมการยอมรับประเพณีบางอย่างไม่ให้เกิดการกินรวบ เป็นโอกาสของความยั่งยืนของรัฐธรรมนูญ 

"วงเสวนา 91 ปี ประชาธิปไตย" เห็นพ้องไทยควรแก้รธน. ให้ทันยุคสมัย

ด้านรศ.ดร.เจษฎ์ ระบุว่าถ้าจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ต้องรับฟังให้รอบด้าน  ถ้ามีการแต่งตั้ง สสร.ก็แต่งตั้งไปแต่อย่าให้ยกร่าง แต่ให้รับฟังความเห็ว่าอยากได้รัฐธรรมนูญแบบไหน ให้เอาคนที่สามารถยกร่างได้มานั่งเขียน เหมือนจ้างคนขับรถมาขับให้

พร้อมระบุว่าจะว่าคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญก็ได้ ปี 60 ก็ไม่เป็นไร ตนรับได้ แต่ขอให้ทำความเข้าใจมาตรา 107 และส่วนตัวมองว่าระบบสัดส่วนยังเหมาะสม

"วงเสวนา 91 ปี ประชาธิปไตย" เห็นพ้องไทยควรแก้รธน. ให้ทันยุคสมัย

ขณะที่นายปิยบุตร กล่าวว่า รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องสัมพันธภาพทางอำนาจ เมื่อคณะรัฐประหารยึดอำนาจก็จะเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อการสืบทอดอำนาจ รัฐธรรมนูญ 60 เป็นหนึ่งในนั้น มองว่าทำให้รัฐประหาร 57 เข้าไปอยู่ในรัฐธรรมนูญทั้งหมด ทั้งแผนยุทธศาสตร์ชาติ การให้อำนาจ ส.ว. ที่มาองค์กรอิสระ และศาลรัฐธรรมนูญ 

คนยึดอำนาจทำง่าย แต่คนทำรัฐธรรมนูญทำยาก ตนเห็นด้วยกับนายอภิสิทธ์ ว่าควรเขียนให้สั้น ระบบเลือกตั้งไม่ควรอยู่ในรัฐธรรมนูญ กติกาให้อยู่ในกฎหมายประกอบ ถ้าอยู่ในรัฐธรรมนูญแก้ไขยาก ด่านสำคัญในการแก้ คือวุฒิสภาและศาลรัฐธรรมนูญ จะเห็น 4 ปีที่ผ่านมาถูกตีตกหมด 

ในทางการเมืองเมื่อประชาชนอยากแก้มาก แล้วระบบรัฐธรรมนูญปิดช่อง ท้ายที่สุดพลังของฝ่ายที่จะทำใหม่กับฝ่ายไม่ให้แก้ ฝ่ายไหนมีมากกว่ากัน หวังหากครม.ชุดนี้ตั้งขึ้นจริง การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ผ่านไปได้  เชื่อคนที่เลือกก้าวไกล เพื่อไทย พรรคอันดับ 1 และ 2 ไม่ได้คิดเพียงว่าอยากให้ใครเป็นรัฐบาล แต่มองถึงการทำรัฐธรรมนูญใหม่ หวังหาก 2 พรรคตั้งรัฐบาลได้ วาระสำคัญที่จะทำแรกๆ คือการแก้รัฐธรรมนูญ 

"บอกสมาชิกตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่ จนถึงพรรคก้าวไกลตลอดว่าเวลาเขียน รัฐธรรมนูญอย่าคิดถึงหน้าคน และอย่าคิดว่าตนจะเป็นฝ่ายชนะตลอด แต่ต้องเขียนให้ทุกฝ่ายทำงานร่วมกันได้   ช่วยกันสร้างกติกาพื้นฐานว่ารัฐบาลมาจากประชาชน และมีการตรวจสอบที่ทีเสถียรภาพ  รวมถึงองค์กรตรวจสอบ ศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องปรับเรื่องนี้ด้วย "

ในความเห็นตนประเทศไทยอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้วุฒิสภาก็ได้อาจจะเป็นสภาเดียวก็ได้  และประเทศใช้ระบบสภาเดียวของไทยจะไปไกลถึงขั้นนั้นได้หรือไม่และหากมีสภาเดียวจะทำอย่างไรให้เสียงข้างมากไม่ครอบงำเสียงข้างน้อยจนสามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่มีการตรวจสอบ

ส่วนองค์กรอิสระที่มีปัญหาพัวพันมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 40 เมื่อกำหนดให้องค์กรอิสระมีอำนาจตรวจสอบ จึงควรแบ่งให้ชัดเจน เช่น ในต่างประเทศที่มาจากส.ส.และส.ว. อย่างละครึ่ง เพื่อให้เกิดการถ่วงดุล และเท่าที่คุยกับก้าวไกล เห็นด้วยกับการที่ให้ฝ่ายค้านเป็นประธานกรรมาธิการเพื่อส่งเสริมให้มีการตรวจสอบ