
10 มิถุนายน 2566 อาจารย์ลอย ชุนพงษ์ทอง นักคณิตศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญดาราศาสตร์คำนวณ และยูทูบเบอร์ ผู้ก่อตั้ง Loy Academy ให้ความเห็นอย่างละเอียดกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มีมติรับเรื่องการถือหุ้นสื่อของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ไว้พิจารณาตามมาตรา 151 ว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญ ปี 60 มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พรป.) 10 ฉบับ ซึ่งฉบับที่ 1 นั้นสำคัญเพราะว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มี 178 มาตรา โดยตนจะเน้นแค่ 2 มาตรา คือ มาตรา 42(3) (ถือหุ้นสื่อ) และ มาตรา 151 (ส่วนตัวแปลได้ว่า เจตนาลักไก่)
โดย กตต.ไม่รับฟ้อง มาตรา42(3) แต่รับฟ้องมาตรา 151 ซึ่งส่วนตัวมองว่ามิได้มีความหมายว่านายพิธา มีมูลความผิด ทำให้หลายคนเชื่อว่านายพิธา ทำความผิดจริงและมีเจตนาลักไก่ไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ว่าการลักไก่มาตรา151 ให้ความหมายไว้ว่า “ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสามชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น มีกำหนด 20 ปี”
ทั้งนี้ มีคำถามว่านายพิธา รู้หรือไม่ว่าตัวเองมีลักษณะต้องห้ามเหมือนกรณี นายสิระ เจนจาคะ โดยส่วนตัวตนเชื่อแบบเดียวกับผู้พิพากษาว่า นายสิระ รู้ตัวอยู่แล้ว เพราะศาลตัดสินถึงที่สุด ให้จำคุกและเคยต้องโทษเข้าคุกมาแล้ว ฉะนั้นนายสิระ รู้อยู่แก่ใจว่ามีลักษณะต้องห้าม แต่ก็ยังสมัคร แต่กรณีของนายพิธา แบ่งได้ 2 แบบ คือ รู้อยู่แก่ใจว่ามีลักษณะต้องห้าม แต่ยังสมัคร (เข้าข่ายความผิด) แต่จะผิดจริงหรือไม่ยังไม่รู้ เพราะเป็นแค่ลักษณะต้องห้าม และแบบต่อมาคือ เชื่อด้วยความบริสุทธิใจ
ซึ่งแยกความเชื่อได้อีก 2 แบบ ได้แก่ รู้หรือเชื่อว่า ตนเองไม่ได้มีลักษณะต้องห้าม (ไม่เข้าข่ายความผิด) และไม่รู้หรือไม่แน่ใจ ก็ถือว่า(ไม่เข้าข่ายความผิด) เพราะจะเข้าข่ายความผิดก็ต่อเมื่อตัวเองรู้อยู่แก่ใจ ถ้ามีความผิดตามาตรา 151 แสดงว่าเจตนาลักไก่ คือมีความผิดแต่ต้องการซ่อน
แต่มีคำถามต่อมาอีกว่านายพิธา ลักไก่หรือไม่ จึงต้องไปพิจารณาว่ามีความผิดจริงหรือไม่จริง ก่อนที่จะกล่าวหาว่าเจ้าตัวซ่อนความผิด โดยลักษณะต้องห้ามเป็นอย่างไรต้องตีความตามเจตนารมณ์ของมาตรา 42 (3) โดยมีใจความว่า “บุคคลลักษณะต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ”
ซึ่งส่วนตัวมองว่าทำไมต้องคิดคำซ้ำซ้อนขึ้นมาด้วย ให้เกิดความสงสัย เช่น สื่อมวลชนก็ต้องรวมถึงหนังสือพิมพ์อยู่แล้ว ทำไมจึงไม่ใช้คำสั้น ๆ ว่า “เป็นผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชนใดๆ” แค่นี้ก็ครอบคลุมหมดแล้ว คำตอบคือไม่ใช่เขาต้องการเขียนให้ยาวเพื่อแสดงเจตนารมณ์
เจตนารมณ์นั้น หากเปรียบเทียบให้เห็น คือ “เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ” กับ “เป็นผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชนใดๆ” คำว่า "เจ้าของ" เป็นตัวหลัก "ผู้ถือหุ้น" เป็นตัวรอง แสดงให้เห็นเจตนารมณ์ว่า “ผู้ถือหุ้น” ในที่นี้เปรียบได้กับเจ้าของที่ถือครองหนังสือพิมพ์ กับผู้ถือหุ้นหนังสือพิมพ์ แบบไหนหนักว่ากันแน่นอนว่า “เจ้าของ” ต้องโทษหนักกว่า เพราะสามารถครอบงำกิจการได้ โดยทั่วไปหมายถึงต้องถือหุ้น 10% ขึ้นไป เพราะจะมีอำนาจแต่งตั้งกรรมการบริษัทได้ ไม่ใช่รายเล็ก ๆ เช่น ผู้ถือหุ้น 3.5%, 0.35%, 0.035%, 0.0035%
โดยส่วนตัวสรุปได้ว่านายพิธา ไม่ได้ขาดคุณสมบัติ ไม่มีไก่ จึงฟ้องลักไก่ไม่ได้ ซึ่งไม่ขาดคุณสมบัติตามาตรา 42 (3) ดังนี้
1. หุ้น ITV ได้จากกองมรดกตกทอด ที่ถือในนาม ผู้จัดการมรดก ยังไม่ทราบว่าใครสมควรได้มรดกนี้
2. หุ้น ITV ในกองมรดก มูลค่าเพียง 67,000 บาท หรือ 0.0035% ไม่สามารถครอบงำกิจการได้ (=10% แต่งตั้งกรรมการบริษัท)
3. สาธารณชนใจตรงกันว่า ITV ไม่ได้ทำหน้าที่สื่อมวลชนตลอดการเลือกตั้ง ไม่สามารถให้คุณ ให้โทษทางการเมืองแก่พรรค์ใด ๆ ได้
4. แม้ ITV ประสงค์จะเป็นสื่อสารมวลชน ก็ยังไม่มีสิทธิเป็นสื่อฯได้อยู่ดี เพราะไม่มีคลื่นความถี่ ที่ได้รับอนุญาต
ตนจึงสรุปได้ว่านายพิธา เชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า ไม่ได้มีลักษณะต้องห้าม มาตรา 42(3) ดังนั้น คำร้องที่ว่า “รู้อยู่แก่ใจ” หรือ “รู้อยู่แล้ว” จึงตกไป