svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

เปิดเหตุผล! "อ.ลอย" ฟันธง "พิธา" ไม่เข้าข่ายผิดมาตรา 151 ไม่มีไก่! จึงฟ้องลักไก่ไม่ได้

เปิดเหตุผล! อาจารย์ลอย ชุนพงษ์ทอง ฟันธง "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล" ไม่เข้าข่ายผิดมาตรา 151 ตามที่ กกต. รับฟ้อง ยัน ไม่มีไก่ จึงฟ้องลักไก่ไม่ได้

10 มิถุนายน 2566 อาจารย์ลอย ชุนพงษ์ทอง นักคณิตศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญดาราศาสตร์คำนวณ และยูทูบเบอร์ ผู้ก่อตั้ง Loy Academy ให้ความเห็นอย่างละเอียดกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มีมติรับเรื่องการถือหุ้นสื่อของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ไว้พิจารณาตามมาตรา 151 ว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญ ปี 60 มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พรป.) 10 ฉบับ ซึ่งฉบับที่ 1 นั้นสำคัญเพราะว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มี 178 มาตรา โดยตนจะเน้นแค่ 2 มาตรา คือ มาตรา 42(3) (ถือหุ้นสื่อ) และ มาตรา 151 (ส่วนตัวแปลได้ว่า เจตนาลักไก่)

เปิดเหตุผล! "อ.ลอย" ฟันธง "พิธา" ไม่เข้าข่ายผิดมาตรา 151 ไม่มีไก่! จึงฟ้องลักไก่ไม่ได้

โดย กตต.ไม่รับฟ้อง มาตรา42(3) แต่รับฟ้องมาตรา 151 ซึ่งส่วนตัวมองว่ามิได้มีความหมายว่านายพิธา มีมูลความผิด ทำให้หลายคนเชื่อว่านายพิธา ทำความผิดจริงและมีเจตนาลักไก่ไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ว่าการลักไก่มาตรา151 ให้ความหมายไว้ว่า “ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสามชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น มีกำหนด 20 ปี”

ทั้งนี้ มีคำถามว่านายพิธา รู้หรือไม่ว่าตัวเองมีลักษณะต้องห้ามเหมือนกรณี นายสิระ เจนจาคะ โดยส่วนตัวตนเชื่อแบบเดียวกับผู้พิพากษาว่า นายสิระ รู้ตัวอยู่แล้ว เพราะศาลตัดสินถึงที่สุด ให้จำคุกและเคยต้องโทษเข้าคุกมาแล้ว ฉะนั้นนายสิระ รู้อยู่แก่ใจว่ามีลักษณะต้องห้าม แต่ก็ยังสมัคร แต่กรณีของนายพิธา แบ่งได้ 2 แบบ คือ รู้อยู่แก่ใจว่ามีลักษณะต้องห้าม แต่ยังสมัคร (เข้าข่ายความผิด) แต่จะผิดจริงหรือไม่ยังไม่รู้ เพราะเป็นแค่ลักษณะต้องห้าม และแบบต่อมาคือ เชื่อด้วยความบริสุทธิใจ

ซึ่งแยกความเชื่อได้อีก 2 แบบ ได้แก่ รู้หรือเชื่อว่า ตนเองไม่ได้มีลักษณะต้องห้าม (ไม่เข้าข่ายความผิด) และไม่รู้หรือไม่แน่ใจ ก็ถือว่า(ไม่เข้าข่ายความผิด) เพราะจะเข้าข่ายความผิดก็ต่อเมื่อตัวเองรู้อยู่แก่ใจ ถ้ามีความผิดตามาตรา 151 แสดงว่าเจตนาลักไก่ คือมีความผิดแต่ต้องการซ่อน

เปิดเหตุผล! "อ.ลอย" ฟันธง "พิธา" ไม่เข้าข่ายผิดมาตรา 151 ไม่มีไก่! จึงฟ้องลักไก่ไม่ได้

แต่มีคำถามต่อมาอีกว่านายพิธา ลักไก่หรือไม่ จึงต้องไปพิจารณาว่ามีความผิดจริงหรือไม่จริง ก่อนที่จะกล่าวหาว่าเจ้าตัวซ่อนความผิด โดยลักษณะต้องห้ามเป็นอย่างไรต้องตีความตามเจตนารมณ์ของมาตรา 42 (3) โดยมีใจความว่า “บุคคลลักษณะต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ”

ซึ่งส่วนตัวมองว่าทำไมต้องคิดคำซ้ำซ้อนขึ้นมาด้วย ให้เกิดความสงสัย เช่น สื่อมวลชนก็ต้องรวมถึงหนังสือพิมพ์อยู่แล้ว ทำไมจึงไม่ใช้คำสั้น ๆ ว่า “เป็นผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชนใดๆ” แค่นี้ก็ครอบคลุมหมดแล้ว คำตอบคือไม่ใช่เขาต้องการเขียนให้ยาวเพื่อแสดงเจตนารมณ์

เจตนารมณ์นั้น หากเปรียบเทียบให้เห็น คือ “เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ” กับ “เป็นผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชนใดๆ” คำว่า "เจ้าของ" เป็นตัวหลัก "ผู้ถือหุ้น" เป็นตัวรอง แสดงให้เห็นเจตนารมณ์ว่า ผู้ถือหุ้น ในที่นี้เปรียบได้กับเจ้าของที่ถือครองหนังสือพิมพ์ กับผู้ถือหุ้นหนังสือพิมพ์ แบบไหนหนักว่ากันแน่นอนว่า เจ้าของ ต้องโทษหนักกว่า เพราะสามารถครอบงำกิจการได้ โดยทั่วไปหมายถึงต้องถือหุ้น 10% ขึ้นไป เพราะจะมีอำนาจแต่งตั้งกรรมการบริษัทได้ ไม่ใช่รายเล็ก ๆ เช่น ผู้ถือหุ้น 3.5%, 0.35%, 0.035%, 0.0035%

เปิดเหตุผล! "อ.ลอย" ฟันธง "พิธา" ไม่เข้าข่ายผิดมาตรา 151 ไม่มีไก่! จึงฟ้องลักไก่ไม่ได้

โดยส่วนตัวสรุปได้ว่านายพิธา ไม่ได้ขาดคุณสมบัติ ไม่มีไก่ จึงฟ้องลักไก่ไม่ได้ ซึ่งไม่ขาดคุณสมบัติตามาตรา 42 (3) ดังนี้

1. หุ้น ITV ได้จากกองมรดกตกทอด ที่ถือในนาม ผู้จัดการมรดก ยังไม่ทราบว่าใครสมควรได้มรดกนี้

2. หุ้น ITV ในกองมรดก มูลค่าเพียง 67,000 บาท หรือ 0.0035% ไม่สามารถครอบงำกิจการได้ (=10% แต่งตั้งกรรมการบริษัท)

3. สาธารณชนใจตรงกันว่า ITV ไม่ได้ทำหน้าที่สื่อมวลชนตลอดการเลือกตั้ง ไม่สามารถให้คุณ ให้โทษทางการเมืองแก่พรรค์ใด ๆ ได้

4. แม้ ITV ประสงค์จะเป็นสื่อสารมวลชน ก็ยังไม่มีสิทธิเป็นสื่อฯได้อยู่ดี เพราะไม่มีคลื่นความถี่ ที่ได้รับอนุญาต

ตนจึงสรุปได้ว่านายพิธา เชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า ไม่ได้มีลักษณะต้องห้าม มาตรา 42(3) ดังนั้น คำร้องที่ว่า “รู้อยู่แก่ใจ” หรือ “รู้อยู่แล้ว” จึงตกไป