svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"หมอวาโย"ชง 3 ข้อแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบลดการลาออกของแพทย์

07 มิถุนายน 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"พรรคก้าวไกล" เสนอ 3 แนวทางแก้ปัญหาแพทย์ลาออก ด้วยการปรับเวลาทำงาน-เพิ่มค่าตอบแทน ผลิตบุคลากรทั้งรัฐ-เอกชน

7 มิถุนายน 2566 "นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง" ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และคณะทำงานด้านสาธารณสุข พรรคก้าวไกล กล่าวถึงแนวทางการแก้ปัญหาภาระงานบุคลากรทางการแพทย์ของพรรคก้าวไกล โดยระบุว่าปัจจุบัน บุคลากรทางการแพทย์มีชั่วโมงการทำงานที่มากเกินไป แพทย์จำนวนมากต้องทำงานถึงสัปดาห์ละกว่า 80 ชั่วโมง หรืออาจถึง 100 ชั่วโมง

ทั้งนี้ ระยะเวลาการทำงานที่มากเกินไป ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการให้บริการกับประชาชน เช่น ความแม่นยำในการตรวจรักษาต่ำลง ส่งผลให้ผู้ป่วยตกอยู่ในความเสี่ยงของการรักษาที่อาจผิดพลาดได้ ในขณะที่ค่าตอบแทนทั้งในและล่วงเวลากลับต่ำอย่างไม่สอดคล้องกัน บางกรณีอาจไม่ได้รับค่าตอบแทนล่วงเวลาเลย

วาโย อัศวรุ่งเรือง

ขณะเดียวกัน ภาระงานที่มากเกินไป ทำให้บุคลากรทางการแพทย์สูญเสียสมดุลการใช้ชีวิต นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียม รวมไปถึงความก้าวหน้าในหน้าที่การงานที่ไม่เหมาะสม ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ภาครัฐหมดขวัญและกำลังใจในการทำงาน ขาดความพึงพอใจในงาน และนำไปสู่การลาออก โดยส่วนหนึ่งเข้าไปสู่ภาคเอกชนที่ได้รับผลตอบแทนและคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า
 

นพ.วาโย กล่าวต่อว่า จากกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม ที่ประชุมของคณะกรรมการเปลี่ยนผ่านอำนาจรัฐบาล (Transition Team) ซึ่งมี "นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์" หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นประธาน ได้ตั้งคณะทำงานเพิ่มขึ้นมา หนึ่งในนั้น คือ คณะทำงานด้านสาธารณสุข ซึ่งตนเป็นตัวแทนของพรรคก้าวไกลเข้าไปร่วมทำงานกับอีก 7 พรรค มุ่งเน้นไปที่ปัญหาภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์เป็นวาระเร่งด่วน

สำหรับคณะทำงานด้านสาธารณสุขของพรรคก้าวไกลเห็นว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นปัญหาเชิงระบบ โดยต้นตอที่สำคัญ ได้แก่ ความจำกัดของบุคลากรและงบประมาณ การเพิ่มการผลิตแพทย์หรือบุคลากรเพียงอย่างเดียว แต่ไม่อุดรอยรั่ว ไม่สามารถขจัดปัญหาได้

ส่วนการลดภาระงาน การกระจายปริมาณและสถานที่ของงาน รวมไปถึงการเพิ่มตัวช่วยอื่น ๆ ที่จะเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระงานนั้น มีความจำเป็น นอกจากนี้ การส่งเสริมสุขภาพของประชาชนให้แข็งแรง ลดความแออัดที่สถานพยาบาลนั้น ก็มีความจำเป็นที่จะต้องกระทำไปควบคู่กัน คณะทำงานจึงมีวาระต่าง ๆ ที่ต้องการเข้าไปผลักดัน ได้แก่
 

(1) ลดการลาออกของบุคลากรทางการแพทย์ เช่น ตั้งเป้าหมายลดชั่วโมงการทำงาน และเพิ่มชั่วโมงการพักผ่อนให้เหมาะสม พรรคก้าวไกลเห็นว่า ชั่วโมงการทำงานแพทย์อย่างแย่ที่สุด ไม่ควรเกิน 80 ชั่วโมง/สัปดาห์ พยาบาลไม่ควรเกิน 60 ชั่วโมง/สัปดาห์ และต้องมีเวลาพักผ่อนอย่างเพียงพอ โดยหากทำงานติดต่อกัน 24 ชั่วโมง หรือทำงานในกะดึก (0.00-8.00 น.) จะต้องได้พักผ่อนอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ก่อนที่จะกลับมาเริ่มทำงานกะต่อไป

รวมถึงทบทวนค่าตอบแทนใหม่อย่างเป็นธรรม เนื่องจากอัตราค่าตอบแทนของบุคลากรทางการแพทย์ไม่มีการปรับขึ้นมาเป็นเวลากว่า 4 ปี มีเสียงเรียกร้องจากกลุ่มตัวแทนบุคลากรทางการแพทย์บางกลุ่มต้องการให้มีการปรับเพิ่มขึ้นโดยไม่น้อยไปกว่าอัตราเงินเฟ้อ และสำหรับบุคลากรทางการแพทย์บางกลุ่ม เช่น บุคลากรในห้องฉุกเฉิน ซึ่งปัจจุบันได้รับค่าตอบแทนล่วงเวลา 8 ชั่วโมง ต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำต่อวัน สมควรมีการพิจารณาปรับเพิ่มค่าตอบแทนให้เหมาะสม โดยค่าตอบแทนต้องวางเกณฑ์ที่คำนึงถึงหลัก "ทำมากได้มาก" ค่าตอบแทนแปรผันตามปริมาณงาน

นอกจากนี้ ต้องแก้ไขระเบียบบางอย่างเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน เช่น ระเบียบเครื่องแต่งกาย ที่อนุญาตให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถใส่ชุดสครับในการทำงาน, สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็น สิทธิการรวมตัวของบุคลากรทางการแพทย์ การเปิดช่องทางร้องเรียนของบุคลากรทางการแพทย์ต่อผู้บริหาร

(2) ลดภาระงานบุคลากรทางการแพทย์ เช่น เพิ่มการทำงานเชิงป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ ทำให้คนไทยสุขภาพดี ลดจำนวนการเข้าโรงพยาบาล ด้วยการยกระดับสิทธิตรวจสุขภาพประจำปีฟรี โดยมีค่าเดินทางให้, ยกระดับสิทธิวัคซีน, ยกระดับการตรวจหามะเร็งสำหรับกลุ่มเสี่ยง, การจัดทำฐานคะแนนสุขภาพโดยมีแรงจูงใจ (Personal Health Scoring) และการพัฒนาอบรม อสม. ให้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ผ่านการฝึกอบรมและให้ได้รับมาตรฐาน เพื่อช่วยปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ของระบบสุขภาพในชุมชน และลดภาระงานของแพทย์

พร้อมกันนี้ ต้องกระจายผู้ป่วยในด้านปริมาณและสถานที่ ไม่ให้แออัดที่โรงพยาบาล โดยการยกระดับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และโรงพยาบาลชุมชน (รพช.) โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ทั้ง Telemedicine และ Telephamarcy เพื่อให้บริการทางการแพทย์ขั้นพื้นฐานและทำการจ่ายยาที่สถานบริการใกล้บ้านได้ โดยเฉพาะในกลุ่มโรคเรื้อรังที่ไม่ติดต่อ (NCDs) และพัฒนาศูนย์ดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคอง (Palliative Care) เพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วยระยะประคับประคองที่ติดเตียงสามารถกลับไปอยู่ใกล้บ้านของตัวเองมากขึ้น ลดความแออัดที่โรงพยาบาล

ขณะเดียวกัน รวมถึงกระจายผู้ป่วยด้านเวลาให้บริการ ด้วยการให้ใช้ระบบ Telemedicine คัดกรองผู้ป่วย และ Smart Queing เพื่อจัดคิวผู้ป่วยในช่วงเวลาต่าง ๆ และสงวนห้องฉุกเฉิน (ER) ไว้สำหรับผู้ป่วยฉุกเฉินที่แท้จริง, ลดภาระงานเอกสาร ปรับฐานข้อมูลดิจิทัล ปรับระบบข้อมูลส่วนหนึ่งจาก Intranet เป็น Internet เพื่อให้โรงพยาบาลปลายทางสามารถเข้าถึงฐานข้อมูลผู้ป่วยและทำการส่งตัวได้โดยสะดวก ร่วมกับศูนย์บริหารจัดการเตียงกลาง (Central Referal Center) สงวนเตียงจำนวนหนึ่งจากโรงพยาบาลขนาดใหญ่เพื่อเข้าศูนย์บริหารจัดการ ทำให้การส่งตัวผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลมีความสะดวกมากขึ้น

(3) เพิ่มการผลิตบุคลากรทางการแพทย์จากทั้งภาครัฐและเอกชน ต่อยอดการผลิตและส่งเสริมให้เพิ่มขึ้น เน้นสนับสนุนโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท (CPIRD) สนับสนุนสถาบันการผลิตแพทย์เพิ่มจากฝั่งเอกชน แต่เพิ่มการควบคุมมาตรฐานให้รัดกุมสูงขึ้น

"เลิกเป่าลมลงในถุงก้นรั่ว แต่อุดรูรั่วด้วยความเข้าใจ เห็นใจ และยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง การทำให้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ มีความพร้อมในการทำงาน มีกำลังกายและกำลังใจที่ดีในการทำงาน ย่อมส่งผลต่อผลิตภาพและคุณภาพในการให้บริการสาธารณสุขแก่ประชาชน" นพ.วาโย กล่าว

logoline