svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

เนชั่นกรุ๊ป เชิญ "8 พรรค" โชว์วิสัยทัศน์ "รัฐบาลใหม่ไทยอยู่จุดไหนบนเวทีโลก"

"8 พรรคการเมือง" โชว์วิสัยทัศน์นโยบายต่างประเทศ ชี้ไทยต้องกระชับสัมพันธ์กับทุกชาติ มีเกียรติศักดิ์ศรี ยึดประโยชน์ชาติเป็นหลัก ขณะที่ส่วนมากเห็นตรงกันไม่หนุนสงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่รัฐบาลกลับมีจุดยืนสลับไปมา ทั้งที่ควรประณามความรุนแรง-ผนวกดินแดน

26 เมษายน 2566 "เลือกตั้ง 66" อนาคตประเทศไทย โดยเนชั่นกรุ๊ป จัดเสวนา "ตัวแทนพรรคการเมืองถกวิสัยทัศน์นโยบายต่างประเทศ รัฐบาลใหม่ไทยอยู่จุดไหนบนเวทีโลก" ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยมี 8 ตัวแทนพรรคการเมืองเข้าร่วมงาน

โดยนายปิติพงษ์ เต็มเจริญ หัวหน้าพรรคเป็นธรรม กล่าวว่า ปัญหาการต่างประเทศที่ประเทศไทยต้องเผชิญ มีทั้งสงครามยูเครน-รัสเซีย ไต้หวัน-จีน คาบสมุทรเกาหลี และความท้าทายของอาเซียนในบริบทต่าง ๆ ที่เข้าสู่การแข่งขัน นโยบายต่างประเทศของพรรคอยู่ที่คำว่า speed (หมดเวลา อธิบายไม่ครบ)

นายวรวีร์ มะกูดี รองหัวหน้าพรรคประชาชาติ กล่าวว่า ถ้าพรรคได้ร่วมรัฐบาล เราจะใช้นโยบายการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะถ้ามีปัญหากับเพื่อนบ้าน ความสงบในบ้านเราจะไม่เกิดเช่น และเพื่อนบ้านจะช่วยเราได้หลายอย่างรวมไปถึงเศรษฐกิจด้วย พร้อมย้ำไทยต้องเป็นกลาง ไม่เข้าข้างใดข้างหนึ่ง ต้องวิเคราะห์ให้ถี่ถ้วนในการวางบทบาทของประเทศ อีกเรื่องที่ควรทำคือ ธุรกิจฮาลาลไทยสู่ฮาลาลโลก จะทำให้เศรษฐกิจขยับขึ้นได้ทันทีหลังจากที่ซบเซาในช่วงโควิดมา และอยากให้มีการประชาสัมพันธ์ประเทศไทย เหมือนที่เคยทำมาในช่วง Amazing Thailand

ด้าน นายวรนัยน์ วาณิชกะ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า ประเทศไทยต้องมีเรื่องของสิทธิมนุษยชน เพราะถ้ายังมีไม่พอแล้วจะไปมีบทบาทในเวทีโลกได้อย่างไร คำตอบคือต้องมีผู้บริหารประเทศกลุ่มใหม่ ส่วนเรื่องซอฟพาวเวอร์ ไม่ใช่ข้าวเหนียวมะม่วง หรือมวยไทย แต่คือกระบวนการ ระหว่างประเทศที่เราจะส่งออกวัฒนธรรมที่เป็น pop culture แล้วต่อยอดมาถึงระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่คนไทยยังไม่เข้าใจดีพอ เพราะฉะนั้นเราต้องมีผู้นำคนใหม่

ส่วน น.ส.พลอยนภัส โจววณิชย์ ตัวแทนพรรคเพื่อชาติ กล่าวว่า พรรคเพื่อชาติจะยกระดับความสำคัญของคนไทย คนไทยต้องไม่ถูกดูถูก ที่ผ่านมาประเทศไทยเหมือนโลกสองใบ นโยบายในประเทศไม่สอดคล้องกับการทำงานด้านต่างประเทศ จึงต้องปรับปรุงให้สอดคล้องกัน 

เนชั่นกรุ๊ป เชิญ \"8 พรรค\" โชว์วิสัยทัศน์ \"รัฐบาลใหม่ไทยอยู่จุดไหนบนเวทีโลก\"

ขณะที่ นายเกียรติ สิทธีอมร คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การต่างประเทศของพรรคประชาธิปัตย์ชัดเจนคือ อยู่ในโลกนี้ต้องมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ต้องมีการต่างประเทศที่ทันโลกทันเกมนานาชาติและมหาอำนาจ โดยเราต้องสร้างเงิน โดยใช้ FTA ลดอุปสรรคทางการค้า ใช้การเจรจาระหว่างประเทศ , สร้างคน ด้วย health education , สร้างชาติ ต้องมีประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขชัดเจน ไม่มีวิถีอื่น แล้วต้องเป็นรูปแบบที่สังคมโลกยอมรับ และอยู่ในโลกนี้อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี เป็นที่น่าเชื่อถือในเวทีโลก

ด้าน นายนพดล ปัทมะ รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า นโยบายต่างประเทศพรรคเพื่อไทยอยู่บนพื้นฐานหลักคิด 5 ข้อ คือ

1.นโยบายต่างประเทศเชิงรุก

2.เพิ่มพูนบทบาทของไทยในเวทีโลก

3.กอบกู้ศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของไทยกลับคืนมา

4.นโยบายต่างประเทศที่กินได้ ตอบโจทย์ทางเศรษฐกิจ

5.นโยบายที่ยึดผลประโยชน์แห่งชาติเป็นหลัก

โดยทั้งหมดนี้จะเริ่มทำการฟื้นฟูบทบาทของไทยในเวทีโลก ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน อาเซียน หรือมหาอำนาจ บนพื้นฐานกฎหมายระหว่างประเทศ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกฏบัตรสหประชาชาติ อีกทั้งจะวางบทบาทให้ไทยเป็นผู้ส่งเสริมสันติภาพ ความมั่งคั่ง และความเจริญรุ่งเรืองในเวทีโลกเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย ปกป้องผลประโยชน์ของคนไทย แรงงานไทย ธุรกิจไทยในต่างประเทศอย่างเข้มแข็ง

โดยทำให้หนังสือเดินทางของไทยมีเกียรติมีศักดิ์ศรีมากขึ้น เจรจาลดประเทศที่ต้องขอวีซ่าเพิ่มให้น้อยลง พร้อมเปิดด่านเสรี เปิดการค้าชายแดนให้มากขึ้น และแสวงหาความมั่นคงทางพลังงาน ด้วยการเจรจาพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อแก้ปัญหาพลังงานในขณะนี้

เนชั่นกรุ๊ป เชิญ \"8 พรรค\" โชว์วิสัยทัศน์ \"รัฐบาลใหม่ไทยอยู่จุดไหนบนเวทีโลก\"

ส่วน น.ส.พรรณิการ์ วานิช ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ฐานคิด bamboo diplomacy ทางพรรคก้าวไกลคิดว่าการโอนอ่อนไปตามอำนาจ ตามกระแสลม จะไม่ทำให้เรามีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีในเวทีระหว่างประเทศ แต่เราต้องยึดมั่น ในหลักการพื้นฐานของฝั่งประชาธิปไตยและหลักสิทธิมนุษยชน พร้อมมองว่าการต่างประเทศของไทยทั้งทศวรรษที่ผ่านมา เป็นการต่างประเทศที่สูญหาย เสียเวลากับการเข้าผิดคลับ คือเมื่อประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย ผู้นำไม่อยู่ในสถานะที่จะอยู่ในคลับของฝั่งประชาธิปไตย หรือโลกที่เป็นอารยะได้ ก็จำเป็นต้องเข้าหาคลับฝั่งที่มีอุดมการณ์คล้ายกัน

คือฝักใฝ่เผด็จการ ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมเราเห็นการต่างประเทศของไทยสูญเสียบาลานซ์ไปอยู่ในฝั่ง ที่ใกล้ชิดกับประเทศไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างจีน ซาอุดิอาระเบีย มากจนเกินไป กลายเป็นการตั้งคลับใหม่ ที่มีจีน ซาอุดิอาระเบีย และไทย และไม่สามารถเจรจาต่อรองอย่างมีประสิทธิภาพ มีประสิทธิผล กับอีกฝั่งนึงได้ ก็ต้องกลับมารีบาลานซ์ เพื่อสร้างการต่อรอง

ทางด้าน นายโภคิน พลกุล ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศ พรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า ประเทศไทยต้องไม่ส่งเสริมสองขั้วของโลกที่นำไปสู่ความขัดแย้ง แต่ต้องมุ่งเน้นสันติภาพ การเจรจา การไม่เอาเปรียบ ทั้งหมดนี้ต้องทำอย่างจริงจัง ต้องยึดในกติการะหว่างประเทศที่เรายอมรับและผูกพัน ต้องเน้นคุณค่าความเป็นมนุษย์ เอื้ออาทรแบ่งปันมนุษย์โลก ปกป้องโลกจากภัยธรรมชาติ โรคระบาด โลกร้อน และเน้นการพัฒนาสีเขียว ค้าขายกับทุกกลุ่มประเทศ

เนชั่นกรุ๊ป เชิญ \"8 พรรค\" โชว์วิสัยทัศน์ \"รัฐบาลใหม่ไทยอยู่จุดไหนบนเวทีโลก\"

โดยทุกเศรษฐกิจ อะไรก็ตามที่ทำให้ประเทศไทยได้ประโยชน์ และคู่ค้าก็ได้ประโยชน์ ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบกัน และไทยต้องเป็นหลักของอาเซียน เพราะถ้าเราไม่ยืนตรงนี้ให้ชัดเจน ประเทศเหล่านั้นอาจจะเล็กเกินกว่าที่จะมีอำนาจต่อรองในด้านต่าง ๆ ซึ่งพรรคไทยสร้างไทยมองว่าเราต้องเป็นฮับของอาหารของโลกให้ได้ ฮับสุขภาพ ฮับท่องเที่ยว และการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคและโลก ในการคมนาคมและโลจิสติกส์ นอกจากนี้ไทยต้องมีเขตเศรษฐกิจพิเศษฮาลาล โดยเฉพาะสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ สงขลา ภูเก็ต รวมไปถึงการค้าชายแดนทั้งหมด ถ้าทำเช่นนี้ได้เชื่อว่าประเทศไทยจะอยู่โดดเด่นในสายตาของชาวโลก อย่างอื่นก็จะง่ายขึ้น แต่ถ้าพยายามไปต่อรองเข้าขั้วนั้นขั้วนี้ ไทยจะไม่มีศักดิ์ศรี

จากนั้น วงเสวนาให้แขกร่วมกันแสดงความเห็นถึงจุดยืนเกี่ยวกับ สงครามยูเครน-รัสเซีย และเรื่องนี้มีความสำคัญกับคนไทยอย่างไร โดย น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศไม่กี่ประเทศในโลกที่งดออกเสียงประณามรัสเซีย ที่มีการผนวกรวมดินแดน แต่หลังจากนั้นก็กลับมาประณาม เพราะตอนนั้นต้องการล็อบบี้ให้รัสเซียมาประชุมที่ประเทศไทย ซึ่งก็ไม่มีใครยืนยันเหตุผลที่แท้จริงคืออะไร แต่สุดท้ายรัสเซียก็ไม่ได้มาร่วมประชุม เรื่องนี้ทำให้ไทยเสียศักยภาพในการต่อรองอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งที่ประเทศไทยควรยืนยันในหลักการว่า ไม่ควรมีชาติใดไปใช้กำลังและผนวกรวมดินแดนของชาติอื่นได้ ก็จะทำให้ไทยมีศักยภาพในการต่อรองได้

ขณะที่ น.ส. พลอยนภัส กล่าวว่า พรรคเพื่อชาติ ไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะในสังคมครอบครัวที่เล็กที่สุด ไปจนถึงระดับประเทศหรือนานาชาติ จุดยืนของเราต้องการให้เกิดสันติภาพอย่างแท้จริง ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาสงครามเกิดขึ้นจากผลประโยชน์ไม่ตรงกัน แต่สุดท้ายก็ต้องกลับสู่โต๊ะเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกัน พรรคเพื่อชาติขอยึดตามกฎบัตรสหประชาชาติว่าด้วยการไม่แทรกแซงของประเทศใดให้เกิดความรุนแรง ประเทศไทยก็ควรสร้างสันติภาพให้กับโลกใบนี้ แต่ที่ผ่านมารัฐบาลไทยมีท่าทีสะเปะสะปะมาก ไม่มีศักดิ์ศรี ถ้าไม่รู้จะไปทางไหนก็ควรก็มีจุดยืนของตัวเอง ที่สำคัญทั่วโลกยืนยันไปแล้วว่าไม่ต้องการสงคราม แต่ต้องการสันติภาพ

ด้าน นายวรนัย กล่าวว่า ประเทศไทยควรยึดหลักสิทธิมนุษยชนและสันติภาพ ก็คือควรเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจายุติการยิงสงบศึก เพื่อให้มีสันติภาพ ไม่ใช่ให้รัสเซียได้มีดินแดนในยูเครน แต่ให้รัสเซียเคารพชายแดนที่มีก่อนสงครามเกิดขึ้น

ส่วน นายเกียรติ กล่าวว่า การใช้กำลังทหารรุกรานประเทศอื่น ประเทศไทยไม่ควรยอมรับ และเราต้องกล้าพูด โดยใช้หลายเวทีที่เหมาะสม และตนก็ได้พูดถึงสหรัฐฯ ด้วยว่ามีส่วนทำให้สถานการณ์บานปลายไปสู่สงคราม แต่วันนี้ไม่มีใครพูดถึงชาวยูเครนที่ได้รับผลกระทบ มีแต่พูดว่าใครถูกใครผิด เรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องของประชาคมทั้งโลก ไม่ใช่เรื่องของประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยองค์กรระหว่างประเทศ อย่างสหประชาชาติ หรือ UN ก็ควรเข้ามาช่วยแก้ไข และประเทศไทยก็ต้องผลักดันและสนับสนุนให้มีการเจรจา ทั้งนี้ ที่ผ่านมาสภาผู้แทนราษฎรไทย ได้ทำหนังสือ 2 ฉบับไปถึงเลขาธิการ UN ว่าเข้าไปช่วยแก้ไข ปัญหานี้ด้วยสันติวิธี

เนชั่นกรุ๊ป เชิญ \"8 พรรค\" โชว์วิสัยทัศน์ \"รัฐบาลใหม่ไทยอยู่จุดไหนบนเวทีโลก\"

นายนพดล กล่าวว่า การลงมติสงครามรัสเซีย-ยูเครน 4-5 ครั้ง ที่ผ่านมา สลับไปสลับมา ไม่คงเส้นคงวา ซึ่งนโยบายประเทศไทยถูกบันทึกไว้แล้ว ดังนั้นรัฐบาลชุดใหม่จะทำอะไรต่อไป ตนคิดว่า ต้องยึดหลักให้แม่นคือกฎหมายระหว่างประเทศ หลักสิทธิมนุษยชน เพื่อเป็นหลังพิงฝาให้ประเทศไทย เราต้องสนับสนุนให้มีการเจรจา สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ส่วนการช่วยเหลือมนุษยธรรม เราต้องทำต่อ เพื่อสร้างบทบาทให้โดดเด่น

นายโภคิน กล่าวว่า บทบาทประเทศไทยที่น่าสงสัยคือ การลงมติ 3 ครั้ง ทั้งคัดค้าน งดออกเสียง และเห็นด้วย จึงตั้งข้อสังเกตว่าตอนที่มีการผนวกดินแดนทำไมจึงงดออกเสียง ทั้งที่หลักการทั้งหมดขัดต่อหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะอย่างไรเราต้องประณามทั้ง 3 กรณี ทั้งการบุกรุก การรวมดินแดน และการให้ถอนทหาร ตนมองว่าบางคนก็เชียร์โดยไม่ได้นึกถึงความรู้สึกทุกข์ยากของชาวยูเครน เราต้องประณามในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่หาประโยชน์จากความขัดแย้ง เพราะถ้าไทยทำจะไม่มีศักดิ์ศรี แล้วต้องยึดมั่นในการเจรจาเพื่อสันติภาพ ให้ความช่วยเหลือในแง่มนุษยธรรม คัดค้านการข่มขู่คุกคามทุกรูปแบบ ไม่ให้สงครามขยายวง โดยเฉพาะการใช้อาวุธนิวเคลียร์

นายกัณวีร์ สืบแสง จากพรรคเป็นธรรม กล่าวว่า จุดยืนทางการทูตไทยยังยึดมั่นอยู่ในระบบทวิภาคีอนุรักษ์นิยม นี่คือปัญหาหลักของไทย ทั้งที่โลกเปลี่ยนไปแล้ว ประเทศไทยต้องเปลี่ยนจุดยืนทางการทูต สิทธิมนุษยชน มนุษยธรรม ไทยต้องแสวงหาการเป็นผู้นำ ก็จะตอบโจทย์บทบาทของประเทศไทยเกี่ยวกับสงคราม ส่วนบทบาทของไทยที่จะไปต่อ มองว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเราแสวงหาการเป็นผู้นำในกรอบทวิภาคี ก็ต้องเรียนรู้การบริหารจัดการเรื่องพวกนี้ ต้องถอดบทเรียนสถานการณ์สงครามที่เกิดขึ้น ออกมาเป็นนโยบายด้านการต่างประเทศของไทย ในเรื่องสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรม

ปิดท้ายด้วย นายวรวีร์ กล่าวว่า นโยบายพรรคประชาชาติ สนับสนุนการพูดคุยอย่างสันติ และอยากให้เกิดเรื่องนี้ให้ได้