svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

พลิกตำนาน"ยุบสภา" นายกฯคืนอำนาจให้ประชาชนเข้าคูหา"เลือกตั้ง"

20 มีนาคม 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

พลิกตำนานเหตุการณ์ "นายกรัฐมนตรี" ใช้อำนาจออกพระราชกฤษฎีกา ประกาศ"ยุบสภา" ผ่านมาเกือบ 91 ปีประชาธิปไตย รัฐบาลแต่ละยุคสมัย "ประกาศยุบสภา" ผ่านมากี่ครั้ง ด้วยเหตุผลทางการเมืองใด

"ขอขอบคุณทุกคน รวมถึงสภาฯด้วย ที่ได้ร่วมทำงานกันมา 4 ปี ก็มีทั้งสำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้างผมขอขอบคุณ ที่ช่วยกันทำเพื่อประเทศชาติ และประชาชนของเรา ไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับใครทั้งสิ้น"

คำกล่าว"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรี ในวันที่มีการโปรดเกล้าฯพรฎ.ยุบสภา 20 มีนาคม 2566 

20 มีนาคม 2566  "ราชกิจจาฯ" ได้เผยแพร่ "พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร 2566" พร้อมกำหนดให้มีการเลือกตั้งเป็นการทั่วไปไม่น้อยกว่า 45 วันแต่ไม่เกิน 60 วัน 

นับจากนาทีนี้เป็นต้นไป สถานการณ์ทางการเมืองเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ  ถนนทางการเมืองทุกสายเดินหน้าเข้าสู่โหมด "เลือกตั้ง 66"   

พลิกตำนาน\"ยุบสภา\" นายกฯคืนอำนาจให้ประชาชนเข้าคูหา\"เลือกตั้ง\"

เป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ทางการเมืองอีกครั้ง สำหรับการประกาศ"ยุบสภา"ในยุคพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายสามโมงเย็น ของวันที่ 20 มีนาคม 2566  โดยประกาศลงราชกิจจานุเบกษา 

บันทึกไว้ดังนี้ "ราชกิจจานุเบกษา" เผยแพร่ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ "พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรพ.ศ. 2566"  ให้ไว้ ณ วันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2566 เป็นปีที่ 8 ในรัชกาลปัจจุบัน

 

การเมืองไทยในห้วงเกือบใกล้ 91 ปีประชาธิปไตย ตั้งแต่ 2475 - 2566 หากย้อนเหตุการณ์ทางการเมืองเกี่ยวกับการประกาศ "ยุบสภา" โดยเริ่มตั้งแต่มีรัฐบาลในปี 2481 จนถึง รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ที่ประกาศ"พ.ร.ฎ.ยุบสภา" รวมแล้ว 15  ครั้ง 

ครั้งที่ 1 

วันที่ 11 กันยายน 2481 ในรัฐบาล "พันเอกพระยาพหลพลหยุหเสนา" เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากรัฐบาลขัดแย้งกับสภาเกี่ยวกับการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ

ครั้งที่ 2

วันที่ 14 ตุลาคม 2488 ในรัฐบาล "ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช" เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากสภายืดอายุมานานในช่วงสงคราม หลังจากได้มีพระราชบัญญัติขยายกำหนดเวลาให้อยู่ในตำแหน่งต่ออีก 2 ครั้ง เนื่องจากไม่อาจจัดให้มีการเลือกตั้งในระหว่างสงครามขณะนั้นได้ ทำให้ ส.ส.ชุดดังกล่าวอยู่ในตำแหน่งนานเกินควร

ครั้งที่ 3

วันที่ 16 ธันวาคม 2516 ในรัฐบาล "สัญญา ธรรมศักดิ์" เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากสมาชิกสภานิติบัญญัติลาออกเหลือ 11 คน จนไม่สามารถทำหน้าที่ของสภาได้ 

พลิกตำนาน\"ยุบสภา\" นายกฯคืนอำนาจให้ประชาชนเข้าคูหา\"เลือกตั้ง\"

ครั้งที่ 4 
วันที่ 12 ม.ค. 2519 ในรัฐบาล "ม.ร.ว.ศึกฤทธิ์ ปราโมช" เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเกิดปัญหาความแตกแยกและขัดแย้งในคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นรัฐบาลผสมในขณะนั้นอย่างรุนแรง อันเป็นเหตุให้เกิดอุปสรรคในการบริหารราชการแผ่นดิน

ครั้งที่ 5 

วันที่ 19 มีนาคม 2526 ในรัฐบาล "พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงในปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเปลี่ยนวิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประชาชนและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 

ครั้งที่ 6 

วันที่ 1 พฤษภาคม 2529 ในรัฐบาล "พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" เป็นนายกรัฐมนตรี  เนื่องจากรัฐบาลขัดแย้งกับสภากรณีการออกพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ.2522 
 
ครั้งที่ 7 
วันที่ 29 เมษายน 2531 ในรัฐบาล "พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเกิดความขัดแย้งภายในรัฐบาล ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความไม่มั่นคงในเสถียรภาพของรัฐบาล และส่งผลให้เกิดอุปสรรคในการบริหารราชการแผ่นดิน 

พลิกตำนาน\"ยุบสภา\" นายกฯคืนอำนาจให้ประชาชนเข้าคูหา\"เลือกตั้ง\"

ครั้งที่ 8 
วันที่ 30 มิถุนายน 2535 ในรัฐบาล"นายอานันท์ ปันยารชุน" เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากการเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจเพื่อยุบสภาภายหลังเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองในเดือน พฤษภาคม 2535

ครั้งที่ 9 
วันที่ 19 พฤษภาคม 2538 ในรัฐบาล"นายชวน หลีกภัย" เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเกิดความขัดแย้งในรัฐบาล ในหลายพรรคการเมืองและระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลจนไม่สามารถจะดำเนินการในทางการเมืองได้อย่างมีเอกภาพ ประกอบกับมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องการออกเอกสารสิทธิให้ประชาชนเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) 

ครั้งที่ 10
วันที่ 29 กันยายน 2539 ในรัฐบาล"บรรหาร ศิลปอาชา" เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเกิดความขัดแย้งในรัฐบาล ภายหลังมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ระหว่างวันที่ 18-20 ก.ย.2539 โดยฝ่ายค้านเน้นอภิปรายที่ตัวนายบรรหาร เรื่องประเด็นสัญชาติ เมื่อการอภิปรายสิ้นสุดลง ที่ประชุมพรรคร่วมรัฐบาลมีมติร่วมกันว่าจะขอให้นายบรรหาร ศิลปอาซา ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งนายบรรหารประกาศจะลาออกภายใน 7 วัน โดยระหว่างนั้นจะพิจารณาบุคคลที่เหมาะสมขึ้นมาเป็นนายกฯ ก่อนจะเปลี่ยนใจประกาศ"ยุบสภา"ในท้ายที่สุด

ครั้งที่ 11
วันที่ 9 พฤศจิกายน2543 ในรัฐบาล"ชวน หลีกภัย" เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากปฏิบัติภารกิจสำคัญสำเร็จลุล่ว โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาจากวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 
 

ครั้งที่ 12 
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 ในรัฐบาล "ทักษิณ ชินวัตร" เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากวิกฤติการณ์ทางการเมืองต่อการขับไล่นายกรัฐมนตรี จากข้อเรียกร้องในทางการเมือง และได้ขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง ถึงแม้รัฐบาลขณะนั้นได้เปิดให้มีการอภิปรายโดยไม่มีการลงมติในที่ประชุมรัฐสภา ก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกันระหว่างผู้ชุมนุมเรียกร้องกับรัฐบาล

ครั้งที่ 13

วันที่ 10 พ.ค. 2554 ในรัฐบาล "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากวิกฤติการณ์ทางการเมืองต่อการขับไล่นายกรัฐมนตรี ประกอบกับรัฐสภาได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ.2550 ไปเรียบร้อยแล้ว 

ครั้งที่ 14 

วันที่ 9 ธ.ค.2556 ในรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากวิกฤติการณ์ทางการเมืองต่อการคัดค้านการออกร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมในปี 2556 

ครั้งที่ 15  
รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์  20 มีนาคม 2566  เป็นการรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนเนื่องจากวาระสภาจะครบ 4 ปี ในวันที่ 23 มีนาคม 2566 จึงทูลเกล้าฯ "พรฎ.ยุบสภา" เพื่อให้มีการเลือกตั้งเป็นการทั่วไป 

 

พลิกตำนาน\"ยุบสภา\" นายกฯคืนอำนาจให้ประชาชนเข้าคูหา\"เลือกตั้ง\"

สำหรับการ "ยุบสภา" ทุกครั้งจะมีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่พ้นจากตำแหน่ง ต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่า ครม.ที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ เพื่อให้ประเทศไม่เป็นสุญญากาศในการบริหาร อย่างไรก็ตามได้มีกฎเหล็ก สำหรับ รัฐมนตรีจะปฏิบัติหน้าที่ได้เท่าที่จำเป็นภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ซึ่ง"กกต."จะมีการแจ้งข้อปฏิบัติไว้ดังนี้

1.ไม่กระทำการอันเป็นการใช้อำนาจแต่งตั้งหรือโยกย้ายข้าราชการ ซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ หรือพนักงานของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่หรือพ้นจากตำแหน่ง หรือให้ผู้อื่นมาปฏิบัติหน้าที่แทน เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจาก"กกต."ก่อน

2.ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจาก กกต.ก่อน

3.ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อ ครม.ชุดต่อไป

4.ไม่ใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐ เพื่อกระทำการใดซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้ง และไม่กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามระเบียบที่ กกต.กำหนด

พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีถ่ายรูปร่วมสื่อมวลชนทำเนียบในวันประกาศยุบสภา20มี.ค.66

ส่วนการ "ยุบสภา" มีผลความได้เปรียบของรัฐบาลชุดก่อน ที่คุมเกมกำหนดระยะเวลาเตรียมพร้อมก่อนการเลือกตั้ง โดยรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 103 วรรคสอง บัญญัติแนวการปฏิบัติไว้ว่า 

"การยุบสภาผู้แทนราษฎรต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกาจะใช้บังคับเมื่อใดแล้วแต่กำหนดไว้ในนั้นเองแต่ต้องหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา และต้องกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายใน 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วันนับแต่วันพระราชกฤษฎีกาใช้บังคับ"

ขณะที่กรณีรัฐบาลอยู่ครบวาระ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 102 กำหนดว่า "เมื่ออายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง พระมหากษัตริย์จะได้ทรงตราพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกต้ังทั่วไปภายใน 45 วัน นับแต่วันที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุ"

logoline