svasdssvasds
เนชั่นทีวี

กีฬา

วิเคราะห์ฟอร์ม ลิเวอร์พูล : เปลี่ยนแท็กติก-ผลลัพธ์เดิม

เจาะลึกวิกฤต ลิเวอร์พูล หลังพ่าย คริสตัล พาเลซ 0-3 ตกรอบ คาราบาว คัพ อาร์เน่อ ชล็อต ยอมเดิมพันปรับระบบเป็น "หลังสาม" และพักตัวหลักเกือบยกชุด แต่สุดท้ายยังล้มเหลว สื่อชี้ความเชื่อมั่นหายไปจากทีม และต้องไปลุ้นกู้ศรัทธากับสามเกมชี้ชะตาที่กำลังจะมาถึง

ค่ำคืนที่แอนฟิลด์เงียบงันอีกครั้ง หลัง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้เป็นนัดที่ 6 จาก 7 เกมในทุกรายการ ตกรอบ คาราบาว คัพ รอบ 16 ทีมสุดท้าย ด้วยน้ำมือของ คริสตัล พาเลซ 0-3 ทั้งที่ อาร์เน่อ ชล็อต เปลี่ยนผู้เล่นถึง 10 คนจากเกมลีกที่แพ้เบรนท์ฟอร์ดเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

นี่คือค่ำคืนที่แฟนบอลบางส่วนแทบจำทีมตัวเองไม่ได้ ไม่เพียงเพราะหน้าตาของผู้เล่นที่เปลี่ยนไปเกือบยกชุด แต่ยังรวมถึงระบบการเล่นที่ไม่คุ้นตา และที่สำคัญที่สุดคือ “ความเชื่อมั่น” ที่กำลังหายไปจากสโมสรแห่งนี้

วิเคราะห์ฟอร์ม ลิเวอร์พูล : เปลี่ยนแท็กติก-ผลลัพธ์เดิม

การทดลองที่เสี่ยงเกินไป

ชล็อตตัดสินใจพักนักเตะตัวหลักแทบทั้งหมด แม้แต่ในรายชื่อสำรองก็ไม่ปรากฏชื่อแข้งคนสำคัญอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หรือ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ เหลือไว้เพียงบางรายอย่าง อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ มิลอส เคอร์เคซ

เขาให้โอกาสผู้เล่นสำรองและดาวรุ่งหลายคน เช่น โจ โกเมซ, วาตารุ เอ็นโด รวมถึงสองดาวรุ่ง ริโอ เอ็นกูโมฮา และ เทรย์ นิโอนี ได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริง ซึ่งเข้าใจได้เพราะถ้าไม่ใช่เกมแบบนี้ พวกเขาก็แทบไม่มีพื้นที่ให้พิสูจน์ตัวเองเลยในสถานการณ์ที่พรีเมียร์ลีกกำลังร้อนแรงและทุกแต้มมีค่ามหาศาล

ครึ่งชั่วโมงแรก ลิเวอร์พูลคุมเกมได้ดี มีจังหวะต่อบอลที่ดูมั่นใจขึ้น แต่สุดท้ายกลับพังทลายจากความผิดพลาดง่าย ๆ ก่อนโดน อิสไมลา ซาร์ ลงโทษถึงสองครั้งในช่วงสี่นาทีก่อนพักครึ่ง และนั่นคือจุดเปลี่ยนของเกมทั้งหมด

เมื่อขาดอาวุธในม้านั่งสำรอง หงส์แดงแทบไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาได้ ครึ่งหลังกลายเป็นการเล่นที่ไร้แรงต้าน ก่อนที่ความย่ำแย่จะถูกซ้ำเติมเมื่อ อามาร่า นัลโล่ กองหลังวัย 18 ปี ที่เพิ่งลงสนามในครึ่งหลัง โดนใบแดงตรงหลังทำฟาวล์ตัดเกมใส่ จัสติน เดเวนนี

ท้ายที่สุด เยเรมี่ ปีโน่ ปิดกล่องด้วยประตูที่ 3 ส่งพาเลซทะลุเข้ารอบก่อนรองฯ ขณะที่ลิเวอร์พูลต้องกลืนความเจ็บเป็นเกมที่ 5 ติดต่อกัน (เฉพาะในประเทศ)

วิเคราะห์ฟอร์ม ลิเวอร์พูล : เปลี่ยนแท็กติก-ผลลัพธ์เดิม

“หลังสาม” การทดลองที่ยังไม่เวิร์ก

ชล็อตไม่เพียงเปลี่ยนผู้เล่น แต่ยังเปลี่ยนระบบจากหลังสี่มาเป็น “หลังสาม” เป็นครั้งแรกตั้งแต่เขาเข้ามาคุมทีมในซัมเมอร์ 2024 เพื่อพยายามแก้ปัญหาฟอร์มที่ตกอย่างหนัก

สามแนวรับ เอ็นโด-โกเมซ-โรเบิร์ตสัน ทำได้ดีในช่วงต้นเกม โดยให้วิงแบ็กอย่าง เคอร์เคซ และ คัลวิน แรมซีย์ ขึ้นสูงเวลาได้ครองบอล ระบบนี้ช่วยให้ลิเวอร์พูลสามารถต่อกรกับแท็กติก 3-4-3 ของพาเลซได้อย่างลงล็อก

แต่เมื่อเกมดำเนินถึงช่วงท้ายครึ่งแรก แผนนี้เริ่มถูกแกะออกโดยทีมของโอลิเวอร์ กลาสเนอร์ ที่ใช้ความเร็วและการต่อบอลสั้นระหว่างตัวรุกแคบ ๆ ดึงแนวรับลิเวอร์พูลออกจากตำแหน่ง ก่อนเจาะทะลุอย่างเฉียบขาด โดยเฉพาะประตูที่สองของ อิสไมลา ซาร์ ที่แสดงให้เห็นช่องโหว่ชัดเจน

มันอาจเป็นแค่การทดลองเพียงครั้งเดียว หรืออาจเป็นสัญญาณว่าชล็อตกำลังดิ้นหาทางออกจากวิกฤต แต่สิ่งที่แน่ชัดคือ “ระบบ” ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเรื่องความมั่นใจและความเปราะบางในแนวรับได้เลย

วิเคราะห์ฟอร์ม ลิเวอร์พูล : เปลี่ยนแท็กติก-ผลลัพธ์เดิม

รอยร้าวที่เริ่มขยาย

ความพ่ายแพ้ต่อพาเลซไม่ได้ทำให้วิกฤตลึกลงกว่าเดิมมากนัก เพราะสถานการณ์ก่อนหน้านี้ก็ย่ำแย่อยู่แล้ว แต่ที่น่ากังวลคือ “แนวโน้ม” ที่ยังคงดำดิ่งต่อเนื่อง

ชล็อตพยายามอธิบายในห้องแถลงข่าวว่า การตัดสินใจพักผู้เล่นหลักเป็นสิ่งจำเป็น เพราะทีมเพิ่งกรำศึกหนักทั้งพรีเมียร์ลีกและแชมเปียนส์ลีก เขามีนักเตะพร้อมใช้งานเพียง 15 คน และไม่ต้องการเสี่ยงบาดเจ็บเพิ่มก่อนเจอเกมใหญ่กับ แอสตัน วิลล่า ในสุดสัปดาห์นี้

“ผมไม่เปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการเลือกทีมในคืนนี้ เพราะแม้แต่ทีมชุดใหญ่ของเราก็ยังไม่สามารถชนะพาเลซได้ในหลายเกมหลัง” ชล็อต กล่าว

และนั่นเป็นถ้อยคำที่สะท้อนถึงความยากลำบากที่ทีมกำลังเผชิญได้เป็นอย่างดี

ถึงกระนั้น สถิติ 6 เกมแพ้จาก 7 นัดก็พูดด้วยตัวเอง ลิเวอร์พูลดูหลวมในเกมรับ ขาดพลังในแดนหน้า และเล่นอย่างไม่มั่นใจแม้ในบ้านของตัวเอง แฟนบอลเริ่มตั้งคำถามว่า “ช่วงตกต่ำชั่วคราว” ที่ชล็อตพูดถึงจะจบลงเมื่อใด

วิเคราะห์ฟอร์ม ลิเวอร์พูล : เปลี่ยนแท็กติก-ผลลัพธ์เดิม

แสงสว่างเพียงเล็กน้อย: ดาวรุ่งบนเวทีใหญ่

แม้ผลการแข่งขันจะขมขื่น แต่ค่ำคืนนี้ยังมีภาพที่น่าชื่นใจเมื่อเหล่าดาวรุ่งของอะคาเดมีได้สัมผัสเกมใหญ่ที่แอนฟิลด์

เคียร์แรน มอร์ริสัน ดาวเตะวัย 18 ปี ได้ประเดิมสนามชุดใหญ่เป็นครั้งแรก เล่นทางขวาและมีจังหวะเกือบทำประตูจากลูกโหม่งในครึ่งแรก ขณะที่คู่หูอย่าง เอ็นกูโมฮา และ นิโอนี ต่างได้รับโอกาสเป็นตัวจริงในเกมสำคัญ

คัลวิน แรมซีย์ กลับมาลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ปีหลังเจอปัญหาบาดเจ็บยาว ขณะที่ ไคเด้ กอร์ดอน, เวลลิตี้ ลักกี้ และ เทรนต์ โคเน-โดเฮอร์ตี ก็ได้มีส่วนร่วมเช่นกัน

แต่ภาพจำสุดท้ายคือใบแดงของ นัลโล่ ดาวรุ่งอีกคน ที่ถูกไล่ออกในเกมชุดใหญ่สองนัดติดต่อกัน (ก่อนหน้านี้โดนแดงในเกมแชมเปียนส์ลีกกับพีเอสวี) เป็นค่ำคืนที่เจ็บปวด แต่ก็อาจเป็นบทเรียนครั้งใหญ่ของเด็กหนุ่มเหล่านี้

วิเคราะห์ฟอร์ม ลิเวอร์พูล : เปลี่ยนแท็กติก-ผลลัพธ์เดิม

สามเกมชี้ชะตา: บทพิสูจน์ของ อาร์เน่อ ชล็อต

ความพ่ายแพ้ในฟุตบอลถ้วยอาจไม่ทำให้วิกฤตลึกลงกว่าเดิม แต่สามเกมข้างหน้านี้จะเป็นตัวตัดสินชะตาของชล็อตและทีม ลิเวอร์พูล อย่างแท้จริง

  • เสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน: พบ แอสตัน วิลล่า (พรีเมียร์ลีก)
  • อังคารที่ 4 พฤศจิกายน: เปิดบ้านรับ เรอัล มาดริด (แชมเปียนส์ลีก)
  • อาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน: เยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (พรีเมียร์ลีก)

สามเกมในแปดวัน สามบททดสอบที่อาจนิยามชะตาของฤดูกาล

และบางทีอาจเป็นสามเกมที่จะชี้ว่า อาร์เน่อ ชล็อต จะยังเป็นคนที่ใช่สำหรับลิเวอร์พูลหรือไม่

วิเคราะห์ฟอร์ม ลิเวอร์พูล : เปลี่ยนแท็กติก-ผลลัพธ์เดิม