
ปกติชื่อของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา คือเครื่องหมายการันตีของฟุตบอลเชิงรุกที่หรูหราและเต็มไปด้วยไอเดีย แต่ค่ำคืนที่เอมิเรตส์ สเตเดียม เขากลับเลือกวิธีที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ยอมวางปรัชญาไว้ข้างสนาม แล้วเปลี่ยน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ให้กลายเป็นทีมที่เล่นเพื่อเอาตัวรอด การตัดสินใจหักดิบเช่นนี้ทำให้ทั้งนักวิจารณ์และแฟนบอลต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “นี่ไม่ใช่เป๊ปที่เรารู้จัก”
ตัวเลข 32.8% คือร่องรอยที่บันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ นี่คือการครองบอลต่ำสุดเท่าที่เป๊ปเคยมีมา ต่ำกว่าที่บาร์เซโลนาเมื่อปี 2016 (34.66%) และต่ำกว่าเกมเจออาร์เซนอลเมื่อปี 2023 (36.5%) เสียอีก มันไม่ใช่เพียงตัวเลขธรรมดา แต่คือภาพสะท้อนการตัดสินใจที่ช็อกโลกฟุตบอล
แม้เจ้าตัวจะอ้างว่าทีมเหนื่อยล้าจากศึกหนักกับนาโปลีในแชมเปียนส์ลีก แต่ไม่ว่าข้ออ้างจะเป็นเช่นไร ผลลัพธ์ก็คือ แมนซิตี้ ต้องลดศักดิ์ศรีความเป็นทีม “เจ้าแห่งการครองบอล” ลงมา และยอมรับบทบาททีมรองที่เฝ้ารอเวลา
นอกจากสถิติการครองบอลที่น่าตกใจแล้ว แมนซิตี้ ยังใช้แท็กติกอื่นๆ ที่ไม่คุ้นตาเพื่อรักษาสกอร์นำไว้
นี่คือแท็กติกที่เต็มไปด้วยความระแวงและระวัง มากกว่าความมั่นใจอันเป็นเอกลักษณ์ของ "เรือใบสีฟ้า"
เกมนี้จบลงด้วยผลเสมอ 1-1 ได้เพียงหนึ่งแต้ม แต่สิ่งที่แมนซิตี้เสียไปอาจมากกว่านั้น นั่นคือในสายตาแฟนบอล พวกเขาเสีย “ภาพลักษณ์ความเหนือชั้น” ที่สร้างมาเนิ่นนาน เหลือเพียงทีมที่เล่นเหมือนกลัวคู่แข่ง ผลงาน 7 แต้มจาก 5 เกมแรกคือการออกสตาร์ทที่เลวร้ายที่สุดในรอบเกือบ 20 ปี
บรรดานักวิเคราะห์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “นี่ไม่ใช่แมนซิตี้แบบเดิม” เกมที่เคยสร้างความหวาดหวั่นให้ทุกทีม กลับกลายเป็นเพียงทีมที่อุดแล้วรอโอกาสสวนกลับ ขณะที่เป๊ปเองยอมรับตรงไปตรงมาว่าเขาไม่ชอบการเล่นแบบนี้ แต่บางครั้งความจริงอันโหดร้ายของฟุตบอลก็บังคับให้คนที่เชื่อมั่นในอุดมการณ์สูงสุด ต้องยอมลดอีโก้ของตัวเองลงเพื่อความอยู่รอด