
การแข่งขันฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2025/26 ได้เปิดฉากการแข่งขันรอบลีกสเตจไปอย่างดุเดือดตลอดช่วงสามวันที่ผ่านมา ซึ่งในนัดแรกนี้ก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจเกิดขึ้นมากมายที่ชวนให้วิเคราะห์เจาะลึก ไม่ใช่แค่เพียงผลการแข่งขัน แต่ยังรวมถึงฟอร์มการเล่นและแนวโน้มที่น่าจับตาในอนาคต
ในฤดูกาลนี้ ทีมจากบุนเดสลีกาดูเหมือนจะเตรียมตัวมาอย่างดีเยี่ยมสำหรับเวทียุโรป โดยเฉพาะ บาเยิร์น มิวนิค ที่สามารถล้างแค้น เชลซี ได้สำเร็จด้วยสกอร์ 3-1 และที่น่าประทับใจไม่แพ้กันคือ ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต ซึ่งโชว์เกมรุกที่น่ากลัวด้วยการถล่ม กาลาตาซาราย ไปถึง 5-1 ชัยชนะของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการทำเกมรุกที่หลากหลายและประสิทธิภาพในการจบสกอร์ที่ยอดเยี่ยม ซึ่งอาจทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งในม้ามืดที่น่ากลัวของทัวร์นาเมนต์นี้
เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ยังคงเป็นเครื่องจักรทำประตูที่ไม่มีใครหยุดได้ โดยในเกมที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เอาชนะ นาโปลี 2-0 เขาได้สร้างสถิติที่น่าทึ่งด้วยการเป็นผู้เล่นที่ยิงครบ 50 ประตูในแชมเปี้ยนส์ลีกเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยการลงสนามเพียง 49 นัดเท่านั้น สถิติของเขาบ่งบอกถึงความสามารถในการทำประตูที่เหนือมนุษย์และอาจจะทำลายสถิติอีกมากมายในอนาคต
ขณะเดียวกัน มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ย้ายไปเล่นให้กับ บาร์เซโลนา ก็กลับมาระเบิดฟอร์มเก่งในบ้านเกิดของตัวเอง ด้วยการทำคนเดียว 2 ประตูใส่ นิวคาสเซิล ประตูของเขาแสดงให้เห็นถึงความคมและเทคนิคที่ยอดเยี่ยม ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาสามารถเป็นกำลังหลักของบาร์เซโลนาได้
นัดแรกของ UCL เต็มไปด้วยผลลัพธ์ที่พลิกล็อก โดยเฉพาะการเอาชนะทีมใหญ่ของทีมที่ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเต็งแชมป์ คาราบัค จากอาเซอร์ไบจาน สร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการฟุตบอลของประเทศด้วยการบุกไปชนะ เบนฟิก้า ได้ถึงถิ่น 3-2 ซึ่งเป็นผลการแข่งขันที่ช็อกแฟนบอลทั่วโลก นอกจากนี้ ยูนิโอน แซงต์-ชิลลัวส์ จากเบลเยียมก็สามารถบุกไปเอาชนะ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน 3-1 ได้อย่างน่าประทับใจ แสดงให้เห็นว่าทีมจากลีกเล็กๆ ก็สามารถสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ได้บนเวทีระดับยุโรป
เกมที่สนุกที่สุดในนัดนี้คงหนีไม่พ้นการเสมอกัน 4-4 ระหว่าง ยูเวนตุส กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ซึ่งเป็นเกมที่แฟนบอลได้เห็นการทำประตูถึง 8 ลูก และการพลิกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ขณะที่ทีมยักษ์ใหญ่อย่าง ลิเวอร์พูล ก็ยังคงสไตล์การคว้าชัยชนะในช่วงท้ายเกมได้เหมือนเดิม ด้วยการได้ประตูชัยจากลูกโหม่งของ เฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บเอาชนะ แอตเลติโก มาดริด 3-2 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึง "ดีเอ็นเอ" ที่ไม่ยอมแพ้ของทีมภายใต้การคุมทัพของ อาร์เน่อ ชล็อต
นอกจากประเด็นที่กล่าวมาแล้ว ทีมใหญ่อื่นๆ ก็เริ่มต้นฤดูกาลได้อย่างน่าพอใจเช่นกัน เรอัล มาดริด สามารถเก็บ 3 แต้มได้จากการชนะ มาร์กเซย 2-1 โดยได้ประตูจากจุดโทษของ คีเลียน เอ็มบัปเป้ ส่วน อาร์เซนอล ก็บุกไปเอาชนะ แอธเลติก คลับ ได้ 2-0 อย่างเฉียบขาด และ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง แชมป์เก่า ก็ยังคงฟอร์มอันดุดันด้วยการถล่ม อตาลันต้า 4-0 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการป้องกันแชมป์ของพวกเขาในฤดูกาลนี้
จากผลการแข่งขันในนัดแรกนี้ ทำให้ตารางคะแนนในรอบลีกเฟสมีความเข้มข้นตั้งแต่เริ่มต้น โดยเฉพาะการแข่งขันเพื่อเป็นอันดับต้นๆ เพื่อผ่านเข้ารอบต่อไป
---
*** ทีมที่แพ้และยังไม่มีคะแนน: แอตเลติโก มาดริด, เบนฟิก้า, มาร์กเซย, บียาร์เรอัล, เชลซี, พีเอสวี, อาแจ็กซ์, แอธเลติก บิลเบา, อตาลันต้า, โมนาโก, กาลาตาซาราย, นาโปลี, นิวคาสเซิล, ไครัต อัลมาตี