
KEY
POINTS
ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษจะกลับมาสร้างความสุขให้กับแฟนๆ อีกครั้งในคืนวันศุกร์นี้ เวลา 02.00 น. เมื่อ "แชมป์เก่า" ลิเวอร์พูล จะเปิดรังแอนฟิลด์ต้อนรับการมาเยือนของ บอร์นมัธ ในนัดเปิดฤดูกาล 2025-26
ทีมของ อาร์เน่อ ชล็อต ต้องแก้ไขข้อผิดพลาดหลังจากพลาดท่าพ่ายแพ้ให้กับคริสตัล พาเลซ ในศึกคอมมิวนิตี้ ชิลด์ ขณะที่ทีมเยือนอย่างบอร์นมัธก็ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดีนักเช่นกัน หลังไม่ชนะใครเลยใน 4 นัดสุดท้ายของเกมอุ่นเครื่องช่วงปรีซีซั่น
ฤดูกาลที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมทีมของ ชล็อต ที่มี โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เป็นแกนหลัก คว้าแชมป์สมัยที่ 20 มาครองได้อย่างสมศักดิ์ศรี ทำให้พวกเขาทาบสถิติแชมป์สูงสุดของคู่ปรับตลอดกาลอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้สำเร็จ
การใช้จ่ายเงินอย่างมหาศาลในช่วงซัมเมอร์ของลิเวอร์พูลบ่งบอกถึงความมุ่งมั่นที่จะรักษาแชมป์ไว้ให้ได้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องบอกลาถ้วยรางวัลแรกของฤดูกาล 2025-26 ไปแล้ว หลังจากพ่ายแพ้จุดโทษให้กับพาเลซ และเกมดังกล่าวได้แสดงให้เห็นถึงปัญหาในแนวรับอีกครั้ง โดยพวกเขาเสียไปถึง 10 ประตูจาก 5 นัดหลังสุด ทั้งในเกมอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
แม้แชมป์เก่าจะเคยฟอร์มสะดุดไม่ชนะใครเลยใน 4 นัดสุดท้ายของฤดูกาล 2024-25 แต่ก็เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาคว้าแชมป์ไปแล้ว ทำให้สถิติไม่แพ้ใครในบ้านที่แอนฟิลด์ในลีกของพวกเขายังคงอยู่ยาวนานถึง 17 นัด นับตั้งแต่ความพ่ายแพ้ให้กับน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว
นอกจากนี้ นับตั้งแต่ฤดูกาล 2012-13 ที่พวกเขาแพ้เวสต์บรอมวิช อัลเบียนไป 3-0 ลิเวอร์พูลก็ไม่เคยแพ้ในนัดเปิดฤดูกาลอีกเลย โดยพวกเขามีสถิติไม่แพ้ใครในนัดแรกถึง 12 ซีซั่นติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นสถิติที่ยาวนานที่สุดในพรีเมียร์ลีก
ในทางกลับกัน บอร์นมัธก็มีสถิติที่น่าสนใจเช่นกัน โดยเวสต์บรอมวิชเป็นทีมสุดท้ายที่เอาชนะพวกเขาได้ในนัดเปิดฤดูกาลเมื่อฤดูกาล 2017-18 หลังจากนั้น "เดอะ เชอร์รีส์" ก็มีสถิติไม่แพ้ใครในนัดเปิดฤดูกาลถึง 7 ปีติดต่อกัน
อย่างไรก็ตาม การทำสถิติไม่แพ้ใครเป็นนัดที่ 8 นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เนื่องจากฤดูกาล 2024-25 ที่ผ่านมาถือเป็นฤดูกาลที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของสโมสร พวกเขาสามารถเก็บคะแนนในพรีเมียร์ลีกได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 56 คะแนน และเสียประตูน้อยที่สุดในลีกสูงสุดเพียง 46 ประตู แต่แนวรับที่แข็งแกร่งของทีมภายใต้การคุมทีมของ อันโดนี่ อิราโอลา ก็ต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
สี่สมาชิกคนสำคัญในแนวรับของฤดูกาลที่แล้ว ได้แก่ เกปา อาร์ริซาบาลาก้า, ดีน เฮาเซ่น, อิลยา ซาบาร์นยี่ และ มิลอส เคอร์เคซ (ที่ย้ายไปอยู่กับลิเวอร์พูล) ต่างก็ย้ายออกจากทีมไป และการเตรียมตัวช่วงปรีซีซั่นของพวกเขาก็ไม่ดีนัก โดยไม่ชนะใครเลยใน 4 เกมสุดท้าย (แพ้ 2, เสมอ 2)
พวกเขาพ่ายแพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเวสต์แฮม ยูไนเต็ดในรายการพรีเมียร์ลีก ซัมเมอร์ ซีรีส์ ก่อนจะเสมอสองนัดติดต่อกันกับเรอัล โซเซียดาด และจากสถิติที่ผ่านมาที่แอนฟิลด์ ก็ดูไม่เป็นใจกับพวกเขาเลย
บอร์นมัธไม่เคยเอาชนะลิเวอร์พูลได้เลยที่เมอร์ซีย์ไซด์ และเก็บได้เพียง 1 แต้มจาก 24 แต้มที่เป็นไปได้ในการมาเยือนครั้งหลังๆ โดยพวกเขาแพ้ถึง 6 นัดหลังสุดที่มาเยือน ด้วยผลประตูรวม 23-2 อย่างไรก็ตาม หากลูกทีมของ อิราโอลา สามารถใช้แผนการเล่นแบบที่พาเลซใช้ในคอมมิวนิตี้ ชิลด์ พวกเขาก็อาจจะสร้างเซอร์ไพรส์ในวันเปิดฤดูกาลได้เช่นกัน
ลิเวอร์พูล
หลังจากพลาดการลงเล่นในคอมมิวนิตี้ ชิลด์ เนื่องจากภรรยาคลอดลูก ไรอัน กราเฟนแบร์ค จะยังไม่ได้ลงเล่นในนัดเปิดฤดูกาลนี้ เนื่องจากเขาต้องชดใช้โทษแบนจากใบแดงที่ได้รับในนัดสุดท้ายของฤดูกาลที่แล้วกับคริสตัล พาเลซ
กราเฟนแบร์คอาจจะเป็นหนึ่งในสามผู้เล่นของเจ้าบ้านที่พลาดลงสนามในคืนวันศุกร์นี้ เนื่องจาก โจ โกเมซ (เอ็นร้อยหวาย) อาจจะทำได้ดีที่สุดเพียงแค่นั่งสำรอง และ คอเนอร์ แบรดลีย์ (กล้ามเนื้อ) ก็ยังต้องลุ้นว่าจะฟิตทันหรือไม่
ในตำแหน่งของกราเฟนแบร์คนั้น แม้ว่า เคอร์ติส โจนส์ จะเพิ่งสร้างสถิติใหม่ด้วยการผ่านบอลในคอมมิวนิตี้ ชิลด์สำเร็จ 100% (53 จาก 53 ครั้ง) แต่คาดว่า อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ที่ฟิตสมบูรณ์แล้ว จะกลับมาลงเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ
บอร์นมัธ
เอเนส อูนาล และ ลูอิส คุก ยังคงอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า ขณะที่ ไรอัน คริสตี้ (ขาหนีบ) และ จัสติน ไคลเวิร์ต (น่อง) ก็ยังไม่พร้อมลงสนาม
หลุยส์ ซินิสเตร์รา หายจากอาการบาดเจ็บที่ต้นขาแล้ว แต่ไม่น่าจะได้ลงเล่นเนื่องจากมีข่าวเรื่องการย้ายทีม
นอกจากนี้ อ็องตวน เซเมนโย่ ที่เพิ่งเซ็นสัญญาใหม่ก็พร้อมลงสนาม ขณะที่ ยอร์เย เปโตรวิช อดีตผู้รักษาประตูเชลซี จะลงเฝ้าเสาให้กับ "เดอะ เชอร์รีส์" เป็นครั้งแรกในพรีเมียร์ลีก
บอร์นมัธยังได้ยืนยันการเซ็นสัญญาคว้าตัว บาโฟเด ดิอากิเต้ กองหลังตัวกลางจากลีลล์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา แต่ยังไม่แน่ชัดว่าเขาจะพร้อมลงสนามในเกมนี้หรือไม่