
แม้ทั้ง ยูเวนตุส และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะคว้าตั๋วเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายแน่นอนแล้ว แต่การเจอกันที่แคมปิง เวิลด์ สเตเดียม ในออร์แลนโดครั้งนี้ยังคงมีเดิมพันสำคัญอยู่ นั่นคือ “ตำแหน่งแชมป์กลุ่ม G” ซึ่งอาจหมายถึงการเลี่ยงทีมแกร่งอย่างเรอัล มาดริดในรอบต่อไป
ยูเวนตุสออกสตาร์ตทัวร์นาเมนต์ด้วยฟอร์มอันเฉียบขาด ถล่มอัล ไอน์ไป 5-0 ก่อนจะไล่ต้อนวีดัด 4-1 รวมแล้วทำได้ถึง 9 ประตูจาก 2 นัด ซึ่งมากกว่าซิตี้อยู่หนึ่งลูก นั่นทำให้ลูกทีมของ อิกอร์ ทูดอร์ มีเงื่อนไขง่ายกว่า แค่เสมอในนัดนี้ก็เพียงพอสำหรับการเข้าป้ายเป็นแชมป์กลุ่ม
จุดเด่นของยูเว่ในรายการนี้คือเกมรุกที่เล่นกันอย่างมั่นใจ โดยเฉพาะ เคนาน ยิลดิซ ดาวรุ่งทีมชาติตุรกี ที่ทำไปแล้ว 3 ประตู พร้อมมีบทบาทสำคัญในแนวรุกร่วมกับ ฟรานซิสโก้ คอนไซเซา และ ร็องดาล โคโล มูอานี ส่วนเกมรับก็ยังไม่ถึงกับมีจุดอ่อน แม้เสียไปหนึ่งลูกจากจังหวะหลุดโฟกัสในเกมกับวีดัด
นอกจากนี้ ยูเวนตุสยังมีสถิติที่น่ากังวลสำหรับแมนฯ ซิตี้อยู่ไม่น้อย เพราะพวกเขา “ชนะเรือใบสีฟ้า 3 นัดหลังสุด” และไม่เสียแม้แต่ประตูเดียว โดยนัดล่าสุดคือการชนะ 2-0 ในยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2024
ทางด้าน แมนฯ ซิตี้ แชมป์เก่ารายการนี้ เริ่มต้นทัวร์นาเมนต์ได้ดีไม่แพ้กัน พวกเขาเปิดสนามด้วยการชนะวีดัด 2-0 ก่อนระเบิดฟอร์มถล่มอัล ไอน์ 6-0 ในนัดที่สอง โดยมีนักเตะหลากหลายรายที่ทำประตูได้ ทั้ง อิลคาย กุนโดกัน, เออร์ลิง ฮาลันด์, ออสการ์ บ็อบบ์, เคลาดิโอ เอเชเวร์รี และไรอัน แชร์กี
ถึงแม้จะยิงไป 8 ประตูและยังไม่เสียประตูเลย แต่เป๊ป กวาร์ดิโอลา ยังแสดงความไม่พอใจเล็กน้อยหลังเกมกับอัล ไอน์ เพราะทีมไม่สามารถยิงประตูที่ 7 ได้ ซึ่งจะทำให้พวกเขาแซงยูเว่ขึ้นไปเป็นจ่าฝูงได้ด้วยผลต่างประตู
ความพร้อมของแมนฯ ซิตี้ในนัดนี้ยังน่าจับตา โดยเฉพาะการคืนสนามของ โรดรี ที่เพิ่งหายเจ็บเอ็นไขว้หน้าหัวเข่า และได้ลงเล่นเป็นตัวสำรองมาแล้ว 2 นัดติดต่อกัน ขณะที่ผู้เล่นอย่าง ฟิล โฟเด้น, เอแดร์ซอน, รูเบน ดิอาส, ซาวินโญ่ และ โอมาร์ มาร์มูช ต่างพร้อมกลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้งหลังได้พักในเกมก่อน
อย่างไรก็ตาม ความกังวลยังมีบ้างในรายของ เคลาดิโอ เอเชเวร์รี ที่เจ็บข้อเท้าและอาจไม่ได้ลงสนาม ส่วน ริโก้ ลูอิส หมดสิทธิ์ช่วยทีมแน่นอนเพราะโดนแบน 2 นัดจากใบแดงเกมแรก
อีกหนึ่งปัจจัยที่อาจส่งผลคือ “ประวัติการพบกัน” เพราะแมนฯ ซิตี้ไม่เคยมีสถิติดีกว่ายูเวนตุสเลย โดยชนะเพียงครั้งเดียวจาก 7 นัดที่เคยดวลกันในทุกรายการ นั่นคือเกมยูฟ่าคัพเมื่อปี 1976 ซึ่งนับถึงตอนนี้ก็ผ่านมานานเกือบครึ่งศตวรรษ
การเผชิญหน้ากันของสองยักษ์ใหญ่จากยุโรปในค่ำคืนนี้ จึงเป็นได้ทั้งเกมโชว์คุณภาพระดับสูง และเดิมพันกลายๆ สำหรับรอบต่อไป เพราะทีมที่จบอันดับสองอาจต้องเจอกับ “เรอัล มาดริด” ตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้ายทันที
สำหรับแฟนบอลแล้ว นี่คือหนึ่งในแมตช์ที่ห้ามพลาดที่สุดของรอบแบ่งกลุ่มอย่างแท้จริง
-----
แม้ไม่มีลุ้นเข้ารอบ แต่ วีดัด และ อัล ไอน์ ยังมีเป้าหมายคือ “การไม่จบอันดับสุดท้าย” ซึ่งวีดัดได้เปรียบจากผลต่างประตูที่ดีกว่า
วีดัดยังไม่เคยชนะในประวัติศาสตร์คลับเวิลด์คัพเลย โดยครั้งนี้ก็พ่ายรวดสองนัด แต่มีจุดดีคือการได้ประตูจาก เธมบิงโกซี ลอร์ช ที่สร้างประวัติศาสตร์ให้ทีมโมร็อกโกยิงใส่ทีมยุโรป
ฝั่งอัล ไอน์ แม้จะคว้าแชมป์ ACL มาอย่างยิ่งใหญ่ แต่โดนซัดไป 11 ประตูจาก 2 นัดล่าสุด และดูไร้ความหวังกับเกมรับที่เปื่อยจนแฟนบอลหมดศรัทธา เกมนี้จะเป็นโอกาสสุดท้ายให้พวกเขากู้ศักดิ์ศรีก่อนกลับบ้าน
เกมนี้ไม่ใช่แค่แมตช์ธรรมดา เพราะ “ทั้งสองทีมมี 4 แต้มเท่ากัน” และต้องวัดกันเพื่อแชมป์กลุ่มแบบตรง ๆ โดยมี อัล ฮิลาล ตามจ้องเงียบ ๆ หากเกมนี้เสมอ
เรอัล มาดริด แม้จะเหลือผู้เล่น 10 คนตั้งแต่นาทีที่ 7 ในเกมกับปาชูก้า แต่ลูกทีมของชาบี อลอนโซ่ก็ยังคว้าชัย 3-1 ได้แบบยิ่งใหญ่ โดย จู๊ด เบลลิงแฮม และ อาร์ด้า กือแลร์ ยังทำผลงานได้ต่อเนื่อง
ฝั่งซัลซ์บวร์ก พลาดโอกาสเข้ารอบแบบสบายๆ หลังเสมอกับอัล ฮิลาล เกมนี้พวกเขาจึงต้องล้มราชันชุดขาวให้ได้เพื่อคว้าจ่าฝูงแบบไม่ต้องลุ้นผลคู่อื่น
-----
อัล ฮิลาล ต้องชนะสถานเดียว และภาวนาให้ผลอีกคู่ไม่จบแบบเสมอ ไม่อย่างนั้นแม้จะมี 5 แต้ม ก็อาจต้องกระเด็นตกรอบ
อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช อาจหายเจ็บกลับมาทันช่วยทีม ขณะที่ มัลคอม กับ เซอร์เกจ์ มิลินโควิช-ซาวิช ยังเป็นตัวความหวัง
ด้าน ปาชูก้า แม้จะได้เปรียบตัวผู้เล่นในเกมกับมาดริด แต่ก็ยิงไม่ได้มากพอ ทำให้พวกเขาตกรอบแน่นอนแล้ว เกมนี้น่าจะใช้โอกาสโรเตชันเต็มพิกัด และให้ดาวรุ่งอย่าง เอเลียส มอนเตียล ที่เพิ่งยิง ได้โชว์ฝีเท้าอีกครั้ง
-----
ถ่ายทอดสดทาง DAZN, MONO29 และ MONOMAX