
ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ผงาดคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก สมัยแรกในประวัติศาสตร์สโมสร หลังโชว์ฟอร์มสุดร้อนแรงถล่ม อินเตอร์ มิลาน 5-0 ในรอบชิงชนะเลิศ ที่อัลลิอันซ์ อารีนา ประเทศเยอรมนี เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา
ชัยชนะครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ของสโมสร นับตั้งแต่ได้รับการเทกโอเวอร์โดยกองทุน Qatar Sports Investments เมื่อปี 2011 และกลายเป็นทีมที่ทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อไล่ล่าความสำเร็จในเวทียุโรป
การคว้าแชมป์ในครั้งนี้ส่งให้ เปแอสเช ก้าวขึ้นมาเทียบชั้นทีมยักษ์ใหญ่แห่งยุโรปอย่างแท้จริง โดยไม่ใช่เพียงในด้านการตลาดหรือรายได้ แต่เป็นการพิสูจน์ด้วยผลงานในสนาม
สนามอัลลิอันซ์ อารีนา ซึ่งเคยเป็นสถานที่ที่เปแอสเชต้องพ่ายแพ้ให้กับบาเยิร์น มิวนิค ในนัดชิงปี 2020 กลายเป็นเวทีแห่งการฉลอง เมื่อแฟนบอลหลายพันคนร่วมโห่ร้องดีใจไปกับถ้วยแชมป์ใบแรกในประวัติศาสตร์สโมสร
เดซิเร ดูเอ้ ดาวรุ่งวัย 19 ปี โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น ยิง 2 ประตูและทำอีก 1 แอสซิสต์ ก่อนจะถูกเปลี่ยนตัวออก พร้อมคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเกม
อีก 3 ประตูได้จาก อัชราฟ ฮาคิมี, ควิชา ควารัตสเคเลีย และ เซนนี มายูลู ตัวสำรองวัย 17 ปีที่ยิงประตูได้เพียง 2 นาทีหลังลงสนาม
ชัยชนะครั้งนี้เป็นผลลัพธ์ของแนวทางใหม่ที่เน้นการสร้างทีมเวิร์กมากกว่าการพึ่งพาซูเปอร์สตาร์ ซึ่งตรงข้ามกับยุคก่อนหน้าที่เต็มไปด้วยชื่อดังอย่าง เมสซี, เนย์มาร์ และเอ็มบัปเป้
หลุยส์ เอ็นริเก้ กลายเป็นผู้จัดการทีมคนที่ 7 ที่คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกกับ 2 สโมสร (บาร์เซโลนา ปี 2015 และ เปแอสเช ปี 2025) พร้อมพาทีมคว้าทริปเปิลแชมป์ฤดูกาลนี้ (ลีก เอิง, เฟรนช์ คัพ และ UCL)
“เรามีความทะเยอทะยาน และจะเดินหน้าพิชิตโลกฟุตบอลต่อไป”
— หลุยส์ เอ็นริเก้ กล่าวหลังจบเกม
ฝั่ง อินเตอร์ มิลาน ที่เคยลุ้นคว้าทริปเปิลแชมป์ในเดือนก่อน สุดท้ายต้องจบฤดูกาลแบบไร้ถ้วย โดยกุนซือ ซิโมเน่ อินซากี ยอมรับว่า
“มันเจ็บปวด เหมือนตอนแพ้ในอิสตันบูลปี 2023 แต่บางครั้งความพ่ายแพ้ก็ทำให้เราเติบโต”
ชัยชนะของเปแอสเชยังสร้างกระแสวิพากษ์ถึงบทบาทของรัฐชาติในการสนับสนุนสโมสรฟุตบอล ผ่านประเด็น “สปอร์ตวอชชิง” ที่เคยเกิดขึ้นกับกรณีของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ จากกลุ่มทุนอาบูดาบีเช่นกัน