
ไม่มี เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่มีนักเตะใหม่ระดับซูเปอร์สตาร์ และมีเพียงข่าวเรื่องนักเตะหมดสัญญาเต็มไปหมดในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล แต่สุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็กลายเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก 2024/25 ได้อย่างเหนือความคาดหมาย
และนี่คือเรื่องราวว่าพวกเขาทำได้อย่างไร
ตามการคาดการณ์ของซูเปอร์คอมพิวเตอร์จาก Opta ก่อนเปิดฤดูกาล แมนฯ ซิตี้ มีโอกาสคว้าแชมป์สูงถึง 82.2% ขณะที่อาร์เซนอลตามมาเป็นอันดับสองที่ 12.2% ส่วนลิเวอร์พูลตามมาห่างๆ ที่เพียง 5.1% เท่านั้น
แม้แต่นักวิเคราะห์อย่าง เจมี่ คาร์ราเกอร์ ก็ยังมองว่า “หงส์แดง” จะจบแค่อันดับ 3 เช่นเดิม ส่วน แกรี่ เนวิลล์ ก็มองว่า การขาดคล็อปป์จะส่งผลอย่างหนัก และเชื่อว่า ลิเวอร์พูลจะจบอันดับต่ำกว่าแมนฯ ยูไนเต็ดด้วยซ้ำ
แต่แค่ในฤดูกาลแรกของ อาร์เน่อ ชล็อต เขาก็นำลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ได้ทันที พร้อมไฮไลต์สุดเด่นจากหลายช่วงสำคัญที่เปลี่ยนแปลงเส้นทางของฤดูกาลนี้อย่างสิ้นเชิง
ช่วงระหว่างเบรกทีมชาติเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน ลิเวอร์พูลเก็บแต้มสำคัญจากเกมใหญ่กับเชลซีและอาร์เซนอล โดยเฉพาะเกมที่เสมอ 2-2 กับ “ปืนใหญ่” จากการไล่ตีเสมอทั้งที่ตามหลังถึงสองครั้ง กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความมั่นใจที่มากขึ้น
หลังจากนั้น พวกเขาพลิกสถานการณ์จากที่ตามหลังไบรท์ตันและเซาธ์แฮมป์ตัน ก่อนกลับมาชนะได้ทั้งสองนัด พร้อมกับวันที่ 9 พฤศจิกายน ลิเวอร์พูลแซงขึ้นเป็น “เต็งแชมป์” อย่างเป็นทางการ หลังชนะวิลล่า 2-0 ขณะที่แมนฯ ซิตี้แพ้ไบรท์ตัน และอาร์เซนอลเสมอกับเชลซี
แม้จะขึ้นเป็นเต็งแชมป์ แต่เกมเสมอนิวคาสเซิล 3-3 และฟูแล่ม 2-2 ทำให้มีเสียงวิจารณ์แนวรับของลิเวอร์พูล รวมถึงคำถามว่า ทีมนี้มีเบอร์ 9 ที่ไว้ใจได้หรือไม่
แต่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็ตอบคำถามด้วยการทำ 4 ประตูและ 4 แอสซิสต์ใน 3 เกมถัดไปกับสเปอร์ส, เลสเตอร์ และเวสต์แฮม พาทีมถล่มคู่แข่งรวม 14-4 พร้อมกับที่ บูกาโย่ ซาก้า บาดเจ็บยาวถึง 4 เดือน กลายเป็นจุดพลิกสำคัญที่ส่งผลต่ออาร์เซนอลโดยตรง
แม้จะมีสะดุดกับแมนฯ ยูไนเต็ด (เสมอ 1-1) และถูกฟอเรสต์นำก่อนในช่วงปีใหม่ แต่ชล็อตยังคงสร้างความเปลี่ยนแปลงจากม้านั่งสำรองได้อย่างยอดเยี่ยม เช่น ดิโอโก้ โชต้า และ คอสตาส ซิมิกาส ที่ประสานงานกันทำประตูตีเสมอเพียงแค่ 22 วินาทีที่ถูกส่งลงสนาม
และเมื่อ ดาร์วิน นูนเญซ ลงมายิงเบิ้ลช่วงทดเจ็บใส่เบรนท์ฟอร์ด พร้อมกับที่อาร์เซนอลสะดุดเสมอวิลล่า ลิเวอร์พูลจึงรักษาตำแหน่งเต็งหนึ่งเอาไว้ได้เหนียวแน่น
จุดสะดุดสำคัญคือเกมเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ ที่โดน เอฟเวอร์ตัน ตีเสมอช่วงท้ายเกม และนำไปสู่การวิจารณ์ผู้ตัดสินจน ชล็อต โดนแบน 2 นัด ฟอร์มของทีมในช่วงนั้นเริ่มมีอาการแผ่ว โดยเฉพาะเกมที่ชนะวูล์ฟแบบหืดจับ และเสมอแอสตัน วิลล่า
แม้จะยังไม่การันตีอย่างเป็นทางการ แต่หลังเกมวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ที่ลิเวอร์พูลชนะซิตี้ถึงถิ่นเอติฮัด 2-0 พร้อมกับที่อาร์เซนอลแพ้เวสต์แฮมในบ้าน ทำให้ช่องว่างแต้มเปิดถึง 11 คะแนน
“พวกเขายังไม่ชูถ้วยก็จริง...แต่แชมป์จบแล้ว” รอย คีน กล่าวใน Sky Sports
แม้จะพ่ายในนัดชิงคาราบาวคัพให้กับนิวคาสเซิล และตกรอบยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกต่อเปแอสเช แต่ชัยชนะในเกมเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ ที่ชนะเอฟเวอร์ตันในบ้าน ก็ทำให้โอกาสคว้าแชมป์ทะยานถึง 99%
แม้อาร์เซนอลจะชนะฟูแล่มและได้ซาก้ากลับมา แต่การเสีย กาเบรียล มากัลเญส จากอาการบาดเจ็บในช่วงท้ายซีซั่น และประตูชัยของ โชต้า ที่ยิงต่อหน้าเดอะค็อป ก็ตอกย้ำว่าถ้วยนี้ลิเวอร์พูลจะไม่พลาดแน่นอน
สุดท้าย จากทีมที่หลายฝ่ายคาดว่าจะจบเพียงอันดับ 3 หรือ 5 ลิเวอร์พูลของอาร์เน่อ ชล็อต พลิกโผคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ทันทีในฤดูกาลแรก สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางแท็กติก ความลึกของทีม และแรงผลักดันจากการเปลี่ยนผ่านยุค
นี่คือฤดูกาลที่แฟนบอลหงส์แดงไม่มีวันลืม