โอมาร์ มาร์มูช ยิงประตูสุดสวยจากระยะไกล กลายเป็นไฮไลต์ที่กลบอารมณ์อำลาสุดซึ้งของ เควิน เดอ บรอยน์ ในเกมที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดบ้านเอาชนะบอร์นมัธ 3-1 เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา
ลูกยิงจากระยะกว่า 30 หลาในนาทีที่ 14 ของมาร์มูชพุ่งแรงปะทะเสาก่อนเสียบมุมบนเข้าไปอย่างสวยงาม ส่งให้ซิตี้ขึ้นนำอย่างรวดเร็ว
แมตช์นี้ถือเป็นเกมสุดท้ายในบ้านของ เดอ บรอยน์ กับแมนฯ ซิตี้ หลังเจ้าตัวเตรียมอำลาทีมแบบไร้ค่าตัวเมื่อจบฤดูกาล โดยได้รับการต้อนรับจากแฟนบอลด้วยป้ายยักษ์ “King Kev” และเสียงปรบมือกึกก้องทั่วสนาม ขณะถูกเปลี่ยนตัวออกในครึ่งหลัง
ซิตี้มาบวกประตูที่สองจากแบร์นาร์โด้ ซิลวา ในนาที 38 ก่อนที่ตัวสำรอง นิโก้ กอนซาเลซ จะยิงปิดกล่องในนาที 89 ส่วนบอร์นมัธตีไข่แตกช่วงทดเวลาบาดเจ็บจาก แดเนียล เจบบิสัน เกมนี้จบลงด้วยใบแดงฝั่งละหนึ่งคน
ชัยชนะเกมนี้ช่วยให้ทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอลา ขยับขึ้นอันดับสามของตาราง และต้องการเพียงแต้มเดียวในเกมสุดท้ายกับฟูแล่มวันอาทิตย์นี้ เพื่อการันตีตั๋วแชมเปียนส์ลีกฤดูกาลหน้า โดยอาศัยประตูได้เสียที่เหนือกว่าคู่แข่งอย่างเชลซีและแอสตัน วิลลา
ในขณะเดียวกัน ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้บอร์นมัธหมดสิทธิ์ลุ้นโควตายุโรปโดยสมบูรณ์
แมนฯ ซิตี้เปิดตัวภาพโมเสกของเดอ บรอยน์ที่ศูนย์ฝึกเยาวชน พร้อมตั้งชื่อถนนในแคมปัสของสโมสรตามชื่อเขา เพื่อเป็นเกียรติแก่กองกลางวัย 33 ปีผู้ร่วมสร้างความยิ่งใหญ่ให้สโมสรตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยผลงานคว้า 16 แชมป์ รวมถึงพรีเมียร์ลีก 6 สมัย และยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 1 สมัย
เดอ บรอยน์โบกมืออำลาแฟนบอลด้วยความซาบซึ้ง ขณะเดินออกจากสนามและสวมกอดกับเป๊ป กวาร์ดิโอลาบนเส้นข้างสนาม
เขากลายเป็นตำนานซิตี้คนล่าสุดที่ได้รับเกียรติให้มีภาพวาดตามรอย ยาย่า ตูเร่, โจ ฮาร์ท, ดาบิด ซิลบา, แว็งซ็องต์ ก็องปานี, กุน อเกวโร่, แฟร์นานดินโญ่ และอิลคาย กุนโดกัน
"โรดรี้" มิดฟิลด์ดีกรี บัลลง ดอร์ กลับมาลงสนามเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน หลังจากเข้ารับการผ่าตัดเอ็นไขว้หน้า (ACL) ที่ทำให้ต้องพักยาวตั้งแต่เกมกับอาร์เซน่อลเมื่อวันที่ 22 กันยายน
เขาลงเล่นเป็นตัวสำรองในครึ่งหลัง และคาดว่าจะฟิตทันลงช่วยทีมในศึกฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ ที่สหรัฐอเมริกาในช่วงมิถุนายนถึงกรกฎาคมนี้
ด้านคริสตัล พาเลซ ยังคงอยู่ในช่วงฟอร์มแรงต่อเนื่อง หลังเพิ่งคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ เมื่อวันเสาร์ โดยเปิดบ้านถล่มวูล์ฟส์ 4-2
เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ยิงสองประตูในครึ่งแรกให้พาเลซขึ้นนำ หลังจากโดนวูล์ฟส์ออกนำก่อนจาก เอ็มมานูเอล อักบาดู ขณะที่ เอเบเรชี เอเซ คนยิงประตูชัยในนัดชิงฯ ก็ทำประตูปิดท้ายได้อีกครั้ง
ชัยชนะนี้ช่วยเติมเต็มช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของพาเลซที่เพิ่งคว้าแชมป์รายการใหญ่แรกของสโมสร