
เมื่อสมาพันธ์ฟุตบอลบราซิล (CBF) ประกาศแต่งตั้ง คาร์โล อันเชล็อตติ ขึ้นเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติ นี่ไม่ใช่แค่ข่าวใหญ่ในวงการลูกหนัง แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมครั้งสำคัญของวงการฟุตบอลบราซิล ประเทศที่ยึดมั่นกับแนวทาง “เกมที่สวยงาม” และเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า เฉพาะคนบราซิลเท่านั้น ที่เข้าใจวิถีฟุตบอลในแบบฉบับของพวกเขา
แต่วันนี้ บราซิลเลือก “โค้ชต่างชาติ” ที่ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตำนานผู้คว้าแชมป์ยุโรปมาแล้วถึง 5 สมัย และประสบความสำเร็จใน 5 ประเทศใหญ่ของยุโรป โดยเชื่อมั่นว่าชายผู้นี้คือคำตอบในความพยายามของบราซิลที่จะหลุดพ้นจากความล้มเหลวในระดับฟุตบอลโลกตลอดกว่า 20 ปีที่ผ่านมา
แม้บราซิลจะคว้าแชมป์ โคปา อเมริกา ได้ในปี 2007 และ 2019 แต่บนเวที ฟุตบอลโลก ทีมแซมบ้ากลับไม่เคยแตะฝันสูงสุดได้อีกเลยนับตั้งแต่ปี 2002
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขา "ตกรอบทุกครั้ง" เมื่อเจอกับทีมจากยุโรปในรอบน็อกเอาต์หลังปี 2002 ซึ่งสะท้อนปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
และในการคัดเลือกฟุตบอลโลก 2026 บราซิลยังโชว์ฟอร์มน่าผิดหวัง โดยเฉพาะการแพ้ อาร์เจนตินา 1-4 จนนำไปสู่การปลดโค้ช โดริวัล จูเนียร์ และการเดินหน้าโครงการ “อันเชล็อตติ”
อันเชล็อตติไม่ได้เป็นแค่โค้ชที่เก่งเรื่องแท็กติก เขาคือผู้สร้าง “สมดุล” ให้กับทีมระดับโลกมาแล้วมากมาย ตั้งแต่ เอซี มิลาน, เชลซี, เปแอสเช, บาเยิร์น มิวนิค ไปจนถึง เรอัล มาดริด
เขานำเรอัลคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2 สมัยในสองยุค เป็นผู้กู้วิกฤตห้องแต่งตัวได้อย่างสง่างาม และที่สำคัญ เขาเข้าใจจิตวิทยานักเตะระดับท็อปที่เปี่ยมไปด้วย "อีโก้"
สำหรับทีมชาติบราซิล อันเชล็อตติไม่ใช่แค่ “คนต่างชาติ” แต่คือ โค้ชระดับตำนาน ที่มีบารมีมากพอจะได้รับการยอมรับจากนักเตะทันที โดยเฉพาะ วินิซิอุส จูเนียร์, โรดรีโก้ และ กาเซมิโร่ ซึ่งล้วนเคยร่วมงานกับเขาและเติบโตภายใต้ระบบของเขาที่เรอัล มาดริด
ในประวัติศาสตร์กว่า 100 ปี มีเพียง 3 คนเท่านั้นที่ไม่ใช่ชาวบราซิลที่เคยคุมทีมชาติ ประกอบด้วย รามอน ปลาเตโร (อุรุกวัย-คุมทีมเมื่อปี 1925), ฆอร์เก โกเมส เด ลีมา หรือ “โจเรกา” (โปรตุเกส-คุมทีมเมื่อปี 1944) และ ฟิลโป นูนเญซ (อาร์เจนตินา-คุมทีมเมื่อปี 1965) โดยทั้ง 3 คนทำหน้าที่รวมกันเพียง 7 นัด
แต่ยุคสมัยเปลี่ยนไป ความสำเร็จของ ฮอร์เก เชซุส กับฟลาเมงโก้ในปี 2019-2020 ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ ทำให้ฟุตบอลบราซิลเปิดใจต่อโค้ชจากต่างแดนมากขึ้น และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ระดับทีมชาติจะเดินรอยตาม
การให้อันเชล็อตติคุมทีมจากยุโรปอาจเป็นประเด็นถกเถียง แต่ในยุคที่ฟุตบอลโลกเชื่อมต่อกันหมด ความสำเร็จไม่ได้จำกัดที่พรมแดน
การมาของอันเชล็อตติถือเป็น “เดิมพันครั้งใหญ่” ของบราซิล เพราะนอกจากจะต้องเปลี่ยนโครงสร้างทีมใหม่ เขายังต้องรับมือกับแรงกดดันมหาศาลจากทั้งแฟนบอลและวงการโค้ชภายในประเทศ
แต่ในขณะเดียวกัน นี่คือโอกาสครั้งสำคัญในการ ปลดล็อกคำสาปฟุตบอลโลก ที่ตามหลอกหลอนบราซิลมานาน และเปลี่ยนแปลงนิยามของ "ฟุตบอลบราซิล" ให้เข้ากับยุคสมัยใหม่
ภายใต้การนำของคาร์โล อันเชล็อตติ เชื่อกันว่าทีมชาติบราซิลอาจไม่ใช่ทีมที่เล่นด้วยลีลาหวือหวาแบบอดีตอันรุ่งเรือง แต่จะเป็นทีมที่มีระเบียบ เกมรุกเฉียบคม และมีวินัยระดับยุโรป ซึ่งหากรวมเข้ากับความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะอย่างวินิซิอุส, โรดรีโก้ และอาจรวมถึง “ทัวร์นาเมนต์สุดท้าย” ของเนย์มาร์
บราซิลอาจไม่ได้กลับมาในแบบเดิม แต่พวกเขาอาจกลับมาคว้าแชมป์โลกอีกครั้ง และในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดก็เป็นได้