
หลังจากเสมอกัน 3-3 ที่สเปน ทั้งสองทีมจะลงเล่นเลกสองที่สนามซานซิโร โดยอินเตอร์ตั้งเป้าสานต่อความฝันในการคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 4 ขณะที่บาร์เซโลนาหมายตาถ้วยใบที่ 6
เกมเลกแรกที่คัมป์ นู เป็นการปะทะกันระหว่างเกมรับที่แข็งแกร่งที่สุดของทัวร์นาเมนต์ กับแนวรุกที่ร้อนแรงที่สุด ผลที่ออกมาคือความมันส์ระดับคลาสสิก
อินเตอร์ขึ้นนำอย่างรวดเร็วจากลูกไขว้ของมาร์คุส ตูรามในเวลาเพียง 30 วินาที กลายเป็นประตูที่เร็วที่สุดในรอบรองชนะเลิศของรายการนี้ ก่อนที่เดนเซล ดุมฟรีส์จะยิงสองประตูในเกมเดียว ขณะที่บาร์เซโลนาก็ตอบโต้ด้วยสามประตูเช่นกัน
แม้จะเสียความได้เปรียบจากการนำถึงสองลูก แต่ทีมของซิโมเน่ อินซากี้ก็พอใจที่ได้ผลเสมอกลับบ้าน โดยมีเสียงเชียร์ที่ซานซิโรรออยู่
อินเตอร์มีสถิติในบ้านยอดเยี่ยม ไม่แพ้ใครใน 15 เกมหลังสุดในแชมเปียนส์ลีกที่ซานซิโร ชนะถึง 12 นัด และพวกเขาก็เคยผ่านบาร์ซาในรอบนี้มาแล้วเมื่อปี 2010 ก่อนคว้าแชมป์ภายใต้การคุมทีมของโชเซ่ มูรินโญ่
แม้ผลงานในลีกจะไม่คงเส้นคงวานัก โดยเพิ่งกลับมาชนะได้อีกครั้งเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเหนือเวโรนา 1-0 อินเตอร์ก็ยังเป็นทีมที่ประมาทไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อเล่นในบ้าน
ในขณะที่ความฝันทริปเปิลแชมป์ของอินเตอร์จบลงแล้ว บาร์ซายังคงเดินหน้าไล่ล่าความสำเร็จ 3 ถ้วยในฤดูกาลนี้ หลังจากได้แชมป์ซูเปร์โกปา และเอาชนะเรอัล มาดริดในรอบชิงโกปา เดล เรย์
พวกเขายังนำเป็นจ่าฝูงลาลีกา หลังจากชนะเรอัล บายาโดลิด 2-1 เมื่อวันเสาร์ และในแชมเปียนส์ลีกก็กำลังเดินหน้าด้วยฟอร์มอันร้อนแรง
ลามีน ยามาล วัยเพียง 16 ปี ยิงไปแล้ว 5 ประตูในแชมเปียนส์ลีกซีซั่นนี้ เทียบเคียงกับตำนานอย่าง คีลิยัน เอ็มบัปเป้, เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ และราอูล กอนซาเลซ ขณะที่ราฟินญาก็มีส่วนร่วมกับ 20 ประตู มากที่สุดอันดับสองในฤดูกาลเดียวรองจากคริสเตียโน โรนัลโด้เมื่อปี 2013-14
ทีมของฮันซี่ ฟลิค ยิงไปแล้ว 40 ประตูในรายการนี้ ใกล้ทำลายสถิติสูงสุดของสโมสรที่ทำไว้เมื่อปี 1999-2000
อย่างไรก็ตาม สถิติเกมเยือนในรอบรองชนะเลิศไม่สู้ดีนัก บาร์เซโลนาแพ้เกมเยือนรอบนี้มาแล้ว 4 ครั้งติด และชนะแค่ 2 จาก 13 เกมเยือนในรอบรองชนะเลิศของแชมเปียนส์ลีก รวมถึงเคยชนะที่ซานซิโรได้เพียงครั้งเดียวจาก 6 เกม