โดยนายวรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์กับ เนชั่น สปอร์ต เช้าวันที่ 13 มี.ค.68 ที่ผ่านมา ซึ่งมีการเปิดเผยในหลากหลายประเด็น ทั้งเรื่องที่เคยถูกกล่าวหาในอดีต รวมถึงเรื่องปัญหาหนี้สินของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยที่ปัจจุบันกำลังเผชิญอยู่
"บังยี" กล่าวว่า "ขอเรียนว่าเป็นคำพูดที่ไม่มีความเป็นจริงเลย คือกล้าพูดโกหกอย่างไม่มีความละอาย ความจริงผมเซ็นสัญญากับ ซีเนเพล็กซ์ และ ทรูวิชั่นส์ ปี 57-59 พอปี 59 ผมหมดเทอม คุณสมยศเข้ามาตอนช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ก็มาได้มรดกที่ผมทิ้งไว้ให้ 600 ล้านนะครับ"
"ผมเซ็นสัญญากับทรูวิชั่นส์ปีละ 600 ล้าน 3 ปี (ปี 57-59) แล้วก็ในปี 58 ก่อนผมจะหมดเทอมในการบริหารสมาคมฟุตบอล ทางทรูฯก็มาคุยขอเซ็นสัญญาต่อ เพราะว่าคู่สัญญาเขามีสิทธิ์ว่าสามารถที่จะมาพูดคุยแล้วก็มายื่นข้อเสนอว่าจะขอต่อสัญญาได้"
"จากนั้นสัญญานี้ก็มีการลงนามและแถลงข่าวอย่างยิ่งใหญ่ในวันที่ 29 ก.ย.58 โดยมีผู้แทนของทรูวิชั่นส์, สยามสปอร์ต, ตัวผม แล้วก็มีที่ปรึกษาที่ผมได้เชิญมาร่วมในการแถลงข่าวด้วย คือ เซอร์เดวิด ริชาร์ด อดีตประธานพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ วันนั้นเราเซ็นสัญญากันเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 4,200 ล้านบาท เซ็นกัน 4 ปี ถึงปี 2563"
"เพราะฉะนั้นผมทิ้งอะไรไว้? นี่ยังไม่รวมถึงสิทธิประโยชน์ในเรื่องของสปอนเซอร์จาก ไทยเบฟ จากเมืองไทยประกันภัย จากแกรนด์สปอร์ต จากโตโยต้า จากสปอนเซอร์ต่างๆอีกหลายร้อยล้านบาท"
"เอาง่ายๆเอาสองเรื่องนี้ คือเรื่องที่ผมทิ้งไว้ให้ในปี 59 จำนวน 600 ล้านบาท กับอีก 4,200 ล้านที่มีการสัญญา ดังนั้นชัดเจนครับ เราทิ้งเงินไว้ให้เกือบ 5,000 ล้านบาท แล้วคุณสมยศมาบอกว่าถือกุญแจเข้ามาดอกเดียว"
"ความจริงยังมีเงินที่เราจะต้องได้จาก ฟีฟ่า และส่วนอื่นๆที่ยังค้าง และจะต้องได้ในช่วงนั้นอีกนะครับ เพราะฉะนั้นเนี่ยการพูดอย่างนี้ผมว่าพูดแบบไม่มีความละอายแก่ใจเลย ไม่มีความเป็นลูกผู้ชาย"
นายวรวีย์ กล่าว่า "เรื่องค่าใช้จ่ายที่ทิ้งไว้ คุณสมยศมากล่าวหาผมในเรื่องของภาษี ก็แน่นอนเราได้สิทธิประโยชน์ ได้เงินรายได้มา มันก็ต้องมีภาษี คุณก็เอาเงินที่ได้มาพวกนี้ไปจ่าย ไม่ได้ไปเดือดร้อนอะไรเลยนะครับ ผมทิ้งไว้เกือบ 5 พันล้าน คุณเสียภาษีแค่ 70-80 ล้านแล้วมันจะมีปัญหาอะไร"
"ตอนนี้พวกคุณต่างหากที่มีปัญหาเรื่องภาษี ขอให้สื่อมวลชนจะช่วยไปเจาะหน่อย ถามกรมสรรพากรว่าสมาคมฯติดค้างภาษีอยู่เท่าไหร่ในยุคของคุณสมยศ อันนี้ก็เป็นอีกภาระหนึ่งที่ทิ้งไว้ให้คุณแป้ง"
"ผมสงสารคุณแป้งมากเพราะว่าต้องมารับภาระอะไรต่างๆซึ่งไม่ควรที่จะมาต้องมีความกังวล รับภาระเรื่องหนี้สินเหล่านี้"
"ผมเป็นคนเชิญคุณแป้งเข้ามาทำงานกับผม มาเป็นผู้จัดการทีมชาติหญิงนะครับ และคุณแป้งเขาได้ทำเกียรติยศชื่อเสียงให้ประเทศไทยอย่างมาก คือทำทีมฟุตบอลหญิงผ่านเข้าไปในรอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2 ครั้ง ครั้งแรกที่แคนาดา และครั้งที่สองที่ฝรั่งเศส คุณแป้งทำชื่อเสียงให้กับสมาคมอย่างมากมายแต่ว่าต้องมารับกรรมอย่างนี้ ผมก็เลยต้องออกมาบอกว่าผมยินดีที่จะร่วมมือกับคุณแป้ง ต้องฟองร้องไล่เบี้ย เอาค่าเสียหาย หรือเอาคนผิดมารับผิดชอบให้ได้"
สำหรับประเด็นที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ที่ ฟีฟ่า เขามองมาหรือไม่ กับการที่สมาคมฟุตบอลไทยมีหนี้สิน มีปัญหาภายใน จะส่งผลให้ ฟีฟ่า เข้ามาลงโทษได้หรือไม่นั้น นายวรวีร์ บอกว่า "เรื่องนี้ ฟีฟ่า เขามีกฎจริยธรรมอยู่ ป็นกฎที่เขากำหนดไว้ว่าถ้าคนที่ดำรงตำแหน่งในสมาคมฟุตบอลของชาติสมาชิก ถ้าทำผิดกฎจริยธรรมก็จะมีบทลงโทษ"
"ถ้าถามผมในเรื่องของการไปกู้เงินฟีฟ่ามา ก็ต้องมาดูว่าเอาเงินไปใช้อะไร ก็ถ้าเกิดว่าเอาไปใช้ในเรื่องการพัฒนาฟุตบอล การทำงานให้กับสมาคมฟุตบอลเอง อันนี้ก็ไม่มีปัญหา แต่ว่าถ้ามีการยักย้ายถ่ายเทออกไปเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวหรืออะไรแบบนี้เนี่ยก็อีกเรื่อง"
"เป็นความจริงหรือไม่ผมไม่ทราบ แต่ว่าเรื่องนี้ก็คงจะต้องไปสืบกัน แล้วก็การสืบผมว่าไม่ยาก เงินสิทธิประโยชน์รายได้อะไรต่างๆหรือแม้กระทั่งเงินของ ฟีฟ่า เอง เวลาเขาส่งเงินเข้ามาเขาก็ส่งเข้ามาที่บัญชีของสมาคมเท่านั้น ผมแนะนำผู้บริหารชุดปัจจุบันสืบจากเส้นทางเงินตรงนี้ก็จะรู้หมด ว่าเส้นทางที่เงินรายได้เข้ามา ทั้งจากสิทธิประโยชน์ที่ผมพูดถึง ทั้งสิทธิประโยชน์ในเรื่องของการถ่ายทอดทีวีที่ผมได้เซ็นสัญญาทิ้งไว้ และอื่นๆอีกมากมายมันไปไหนบ้าง"
"ผมยกตัวอย่างสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ถ้านักฟุตบอลของเขาไปเล่นพนันบอลอะไรต่างๆ มันเป็นความผิดที่ร้ายแรงมากเลยนะครับ แล้วนี่คือผู้ที่ซื้อไปมันเป็นเว็บพนันไงครับ"
"โดยปกติแล้วข้อมูลเรื่องพวกนี้เป็นความลับ การเอาข้อมูลไปเปิดเผยว่าผู้เล่นตัวนั้นเป็นอย่างงั้น ตัวนี้เป็นอย่างงี้ เขาก็จะไปกำหนดราคาต่อรอง แล้วมันก็จะคืบคลานไปถึงการล้มบอลล็อกผลการแข่งขัน"
"ผมไม่ได้กล่าวหาเรื่องนี้เพราะผมไม่รู้รายละเอียด แต่ผมเล่าโดยรวมให้ฟังว่าถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมันก็จะคืบคลานไปถึงเรื่องพวกนั้นได้"
"บังยี" กล่าวว่า "ความจริงสมาคมก็มีสิทธิประโยชน์รายได้ ผมไม่รู้ว่าปัจจุบันนี้มากมายขนาดไหน แล้วก็ยังจะต้องแบ่งเปอร์เซ็นต์ส่วนหนึ่งให้บริษัทที่บริหารสิทธิประโยชน์อะไรต่างๆอีก บริษัทเหล่านี้เขาต้องช่วยในเรื่องของการหาสิทธิประโยชน์รายได้อะไรต่างๆมา เวลามีรายได้เข้ามาแล้วส่วนหนึ่งก็จะต้องส่งกลับคืนไปให้บริษัทเป็นค่าคอมมิชชั่นที่เขามาดูแลในเรื่องตรงนี้"
"ความจริงผมมีเรื่องราวตรงนี้ลึกนะครับ ลึกมาก ซึ่งผมก็จะมอบหลักฐานให้กับคุณแป้งให้ดูว่า ไอ้สัญญาเหล่านี้เนี่ยมันเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมหรือมีการสมยอมกัน"
"คุณสมยศเขาฟ้องผมหลายคดี แต่ผมก็ชนะทุกคดีเพราะว่าผมมีหลักฐาน ผมไปขอความกรุณาจากศาลให้ช่วยเรียกหลักฐานพวกนี้ให้ผม ผมก็ได้ดูรายละเอียดว่าเขาไปทำกันยังไง"
"ผมยินดีที่จะช่วยเต็มที่ เพราะว่าผมก็ชื่นชมในผลงานของคุณแป้งซึ่งเราทำร่วมกันมา เราก็ทำงานเข้าขากันอย่างดีนะครับ แล้วก็เราก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก เข้ารอบฟุตบอลหญิงชิงแชมป์โลกรอบสุดท้ายถึงสองครั้ง ในประวัติศาสตร์ไม่มีใครทำได้แต่เราทำได้ เหมือนกับเหตุการณ์ที่ผมเซ็นสัญญา 4,200 ล้านบาท 4 ปีกับ ซีเนเพล็กซ์ (บริษัทในเครือทรูวิชั่นส์) มันก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลไทยอีกแล้ว"