
เมื่อศึก พรีเมียร์ลีก เข้าสู่ช่วงสามเดือนสุดท้ายของฤดูกาล การแข่งขันแย่งโควตายุโรปกำลังเข้มข้นถึงขีดสุด
หลังผ่านการแข่งขันล่าสุด ทีมอันดับ 4 (แมนเชสเตอร์ซิตี้) ไล่ไปจนถึงทีมอันดับ 10 (แอสตัน วิลล่า) มีแต้มห่างกันเพียง 5 คะแนน โดยที่วิลล่าลงเล่นไปแล้ว 28 นัด ขณะที่ทีมส่วนใหญ่ลงเล่นเพียง 27 นัด เนื่องจากพวกเขาแข่งขันกับลิเวอร์พูลก่อนกำหนดเพราะโปรแกรมนัดชิงชนะเลิศคาราบาวคัพของ "หงส์แดง"
แม้แต่ทีมในอันดับ 11 และ 12 อย่าง เบรนท์ฟอร์ด และ คริสตัล พาเลซ ก็ยังคงมีโอกาสลุ้นพื้นที่ยุโรปสำหรับฤดูกาล 2025/26 เช่นกัน
พรีเมียร์ลีกอาจมีตัวแทนสูงสุดถึง 10 ทีม ในสามรายการของยูฟ่า ได้แก่ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก, ยูฟ่า ยูโรปาลีก และ ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ลีก ฤดูกาลหน้า ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หากดูจากอันดับปัจจุบัน ลิเวอร์พูล, อาร์เซนอล, น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะได้ตั๋วแชมเปียนส์ลีก ขณะที่ เชลซี จะได้ตั๋วไปเล่นยูโรปาลีก
อย่างไรก็ตาม โควตาสามารถเปลี่ยนแปลงได้จากหลายปัจจัย
ด้วยการขยายทีมในรอบลีกเฟสของยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก จาก 32 เป็น 36 ทีม ยูฟ่าจะมอบโควตาพิเศษให้สองลีกจากประเทศที่ทำอันดับดีที่สุดในตารางค่าสัมประสิทธิ์ของยูฟ่า
ปัจจุบัน อังกฤษ และ สเปน เป็นสองชาติที่อยู่อันดับสูงสุด หมายความว่าทั้งพรีเมียร์ลีกและลาลีกาจะได้โควตาเพิ่มเป็น 5 ทีม ซึ่งในกรณีนี้ เชลซี จะได้ตั๋วแชมเปียนส์ลีกในฐานะทีมอันดับ 5
นอกจากนี้ พรีเมียร์ลีกอาจมีทีมในแชมเปียนส์ลีกมากถึง 7 ทีม หากทีมอันดับ 5 ได้สิทธิ์ตามโควตาพิเศษ และหากมีทีมจากพรีเมียร์ลีกที่คว้าแชมป์แชมเปียนส์ลีกแต่ไม่ได้จบใน 5 อันดับแรก รวมถึงหาก สเปอร์ส หรือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ที่อยู่อันดับ 13 และ 14) คว้าแชมป์ยูโรปาลีก
หากสถานการณ์นี้เกิดขึ้น พรีเมียร์ลีกอาจมีถึง 10 ทีมในยุโรป ประกอบด้วย 7 ทีมในแชมเปียนส์ลีก, 2 ทีมในยูโรปาลีก และ 1 ทีมในคอนเฟอเรนซ์ลีก
ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก มีเพียงครั้งเดียวที่ช่องว่างระหว่างอันดับ 4 และ 10 น้อยกว่าปัจจุบัน ซึ่งเกิดขึ้นในปี 2001 เมื่อ ลิเวอร์พูล อยู่ที่ 4 นำหน้า เซาธ์แฮมป์ตัน ทีมอันดับ 10 เพียง 4 คะแนน หลังจากลงเล่น 27 นัด
แต่ในยุคที่พรีเมียร์ลีกได้โควตาแชมเปียนส์ลีก 4 ทีม (ตั้งแต่ฤดูกาล 2002/03) ไม่เคยมีครั้งไหนที่ช่องว่างของอันดับ 4 และ 10 จะแคบขนาดนี้ในช่วงต้นเดือนมีนาคม
ลิเวอร์พูล ยังคงเป็นทีมที่ฟอร์มดีที่สุด โดยไม่แพ้ใครในลีกตั้งแต่เกมที่พ่าย น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 0-1 ในสัปดาห์ที่ 4 ปัจจุบันนำอันดับ 5 ถึง 21 คะแนน และแทบจะการันตีตั๋วแชมเปียนส์ลีก
อาร์เซนอล อันดับ 2 มีแต้มนำห่างอันดับ 5 อยู่ 8 คะแนน และมีโอกาสสูงที่จะได้ไปแชมเปียนส์ลีกเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน
ส่วนอันดับ 3 น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ มี 48 คะแนน ตามมาด้วย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (47 คะแนน), เชลซี (46 คะแนน), นิวคาสเซิล (44 คะแนน), บอร์นมัธ และ ไบรท์ตัน (43 คะแนน)
ในช่วง 10 นัดหลังสุด นิวคาสเซิล และ ไบรท์ตัน ทำผลงานดีที่สุดในกลุ่มที่ลุ้นอันดับ 4 โดย ไบรท์ตัน ชนะติดต่อกัน 3 นัด ซึ่งเป็นสถิติชนะรวดที่ยาวที่สุดในลีกตอนนี้
คริสตัล พาเลซ ฟอร์มร้อนแรงเช่นกัน โดยเก็บได้ 20 แต้มจาก 30 แต้มล่าสุด พวกเขาอาจสร้างประวัติศาสตร์คว้าตั๋วไปเล่นรายการยุโรปครั้งแรก หลังเคยเล่น อินเตอร์โตโต้ คัพ ปี 1998
ในทางตรงกันข้าม เชลซี ฟอร์มแย่ที่สุดในกลุ่มนี้ โดยพวกเขาไม่ชนะติดต่อกันในลีกตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม แม้ว่าจะคว้าแชมป์คอนเฟอเรนซ์ลีกเพื่อไปเล่นยูโรปาลีกได้ แต่ เอนโซ มาร์เรสก้า ต้องการพาทีมกลับไปแชมเปียนส์ลีกมากกว่า
จากการวิเคราะห์โดยอ้างอิงจากระบบ Fantasy Premier League's Fixture Difficulty Rating (FDR) ฟูแล่ม มีโปรแกรมที่ยากที่สุด โดย 5 นัดถัดไปมีคะแนนความยากเฉลี่ย 3.2 และยังต้องเจอ 6 ทีมที่อยู่เหนือพวกเขาในตาราง รวมถึง อาร์เซนอล, ลิเวอร์พูล, เชลซี และ แมนฯ ซิตี้
เบรนท์ฟอร์ด, เชลซี และ คริสตัล พาเลซ ก็มีโปรแกรมยากเช่นกัน โดยมีค่าเฉลี่ย FDR 3.1
ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ เจอโปรแกรมเบาที่สุด โดยพวกเขาต้องเจอทีมที่อยู่ต่ำกว่าตนเองเป็นหลัก และมีเพียง น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ที่เป็นทีมเดียวที่อยู่เหนือพวกเขาในตารางที่ยังต้องเจอกัน
ด้าน นิวคาสเซิล มีโปรแกรมที่ง่ายสุดจากกลุ่มลุ้นยุโรป (FDR เฉลี่ย 2.7) แต่การเจอ เชลซี และ อาร์เซนอล ใน 2 นัดสุดท้าย อาจตัดสินโอกาสไปแชมเปียนส์ลีกของพวกเขา
.....
สุดท้ายทีมใดจะสมหวังนั้น รอลุ้นกันได้ในช่วงโค้งสุดท้ายนับจากนี้