
ด้วยชัยชนะ 2-0 ที่สนามของแชมป์เก่าสี่สมัยติดในวันอาทิตย์ ลิเวอร์พูลแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและขยับหนีอาร์เซนอลอันดับสองไปถึง 11 คะแนน
“มันพิเศษมาก” โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กล่าวถึงชัยชนะครั้งนี้ ท่ามกลางเสียงร้องของแฟนบอลทีมเยือนที่ตะโกนว่า "เราจะเป็นแชมป์ลีก" หลังสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้าย
ขณะที่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา กุนซือแมนฯ ซิตี้ ยอมรับว่า ตอนนี้แชมป์อยู่ในมือของลิเวอร์พูลแล้ว
ประตูจาก ซาลาห์ และ โดมินิก โซโบซไล ตั้งแต่ครึ่งแรกทำให้ทีมของ อาร์เน่ สล็อต คุมเกมไว้ได้ทั้งหมด และหลังผ่านไป 27 นัด ลิเวอร์พูลนำแมนฯ ซิตี้ ถึง 20 คะแนน พร้อมทำสถิติคว้าชัยแบบไปกลับเหนือทีมของกวาร์ดิโอลาในลีกซีซั่นนี้
แม้ สล็อต จะพยายามลดกระแสการลุ้นแชมป์เนื่องจากฤดูกาลยังเหลืออีกหลายเกม แต่ความได้เปรียบของลิเวอร์พูลนั้นชัดเจน
“ไม่มีใครมองว่าเราจะเป็นทีมลุ้นแชมป์เมื่อฤดูกาลเริ่มต้น และไม่มีใครคาดคิดว่า แมนฯ ซิตี้ จะไม่อยู่ใกล้จ่าฝูงขนาดนี้” กุนซือชาวดัตช์กล่าว
นี่เป็นความพ่ายแพ้ครั้งที่ 8 ของซิตี้ในลีก และครั้งที่ 14 ในทุกรายการ ซึ่งมากที่สุดที่พวกเขาเคยแพ้ภายใต้การคุมทีมของกวาร์ดิโอลา โดยก่อนหน้านี้ ซิตี้เคยแพ้ 12 นัดในฤดูกาล 2019-20 ซึ่งเป็นปีที่พวกเขาพลาดแชมป์ครั้งล่าสุด และในตอนนั้น ลิเวอร์พูลก็เป็นทีมที่นำเป็นจ่าฝูงเช่นเดียวกับปีนี้
อาร์เซนอลพลาดท่าพ่ายเวสต์แฮม 0-1 เมื่อวันเสาร์ ทำให้ลิเวอร์พูลมีโอกาสทองในการยึดตำแหน่งจ่าฝูงเหนียวแน่นยิ่งขึ้น
ซึ่งพวกเขาก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอย เมื่อซาลาห์ยิงประตูขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 14 จากลูกเตะมุมที่เล่นกันอย่างสวยงาม ก่อนที่เจ้าตัวจะจ่ายให้ โซโบซไล ยิงประตูที่สองในนาทีที่ 37
แมนฯ ซิตี้ ที่ไม่มี เออร์ลิง ฮาลันด์ เนื่องจากอาการบาดเจ็บ แทบไม่มีโอกาสกลับเข้าสู่เกม โดยจังหวะที่ใกล้เคียงที่สุดคือประตูของ โอมาร์ มาร์มูช ที่ถูกจับล้ำหน้า
“แฟน ๆ จะร้องเพลงอะไรก็ได้ที่พวกเขาต้องการ ผมคิดว่าพวกเขาร้องแบบนี้มาสักพักแล้ว แต่เราในฐานะทีมรู้ดีว่าต้องทำงานหนักแค่ไหนในทุก ๆ เกม” สล็อต กล่าว
หลังยิงให้ ลิเวอร์พูล บุกไปนำ แมนฯ ซิตี้ 1-0 ส่งผลให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยิงใน พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้เป็น 25 ประตูแล้ว และเป็นลูกที่ 30 นับรวมทุกรายการ รวมถึงยิงให้ ลิเวอร์พูล เพิ่มเป็น 241 ประตู ขยับขึ้นรั้งอันดับสามดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของสโมสรร่วมกับ กอร์ดอน ฮ็อดจ์สัน เป็นรองแค่ โรเจอร์ ฮันต์ กับ เอียน รัช เท่านั้น
นอกจากนี้ ซาลาห์ ยังมีส่วนร่วมกับประตูในเกมลีกซีซั่นนี้ถึง 41 ลูกอีกด้วย แถมยังสร้างสถิติทั้งยิงทั้งจ่ายในเกมเดียวกันของศึก พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ได้ 11 เกมแล้ว ซึ่งเป็นสถิติที่ดีที่สุดในลีกยุโรปนับจากที่ ลิโอเนล เมสซี่ ทำได้ในซีซั่น 2014/15 กับ บาร์เซโลน่า
นี่คือความพ่ายแพ้ที่น่าเจ็บปวดอีกครั้งของแมนฯ ซิตี้ ในฤดูกาลที่ยากลำบาก
เมื่อวันพุธ พวกเขาตกรอบแชมเปียนส์ลีกหลังแพ้เรอัล มาดริด 1-3 และกลับมาลงเล่นในลีกวันอาทิตย์ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการลุ้นแชมป์ของลิเวอร์พูลได้
ตอนนี้ เอฟเอ คัพ เป็นความหวังเดียวที่เหลือสำหรับถ้วยรางวัลในฤดูกาลนี้ ขณะที่อันดับในลีกต้องลุ้นหนักเพื่อให้ได้กลับไปเล่นแชมเปียนส์ลีก
“ถ้าเราไม่ติดท็อปโฟร์ นั่นเป็นเพราะเราไม่ดีพอ ไม่ใช่เพราะขาดแรงกระตุ้น” กวาร์ดิโอลากล่าว “มันเป็นการแข่งขันที่สูสี มีหลายทีมอย่าง น็อตติงแฮม, นิวคาสเซิล, แอสตัน วิลลา ที่แข็งแกร่ง มันไม่ง่ายเลย แต่เราจะพยายาม”
แมนฯ ซิตี้ เริ่มฤดูกาลนี้ในฐานะแชมป์พรีเมียร์ลีกสี่สมัยติด และคว้าแชมป์ 6 จาก 7 ฤดูกาลหลังสุดภายใต้การคุมทีมของกวาร์ดิโอลา รวมถึงแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกในปี 2023 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทริปเปิลแชมป์
นิวคาสเซิลยิงสี่ประตูในช่วงเวลาเพียง 11 นาทีใส่น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ก่อนจะต้องรับมือกับการไล่บี้ของคู่แข่งจนจบเกมที่สกอร์ 4-3
อเล็กซานเดอร์ อิซัค ซัดสองประตูในครึ่งแรก ทำให้ยอดรวมของเขาในฤดูกาลนี้เพิ่มเป็น 21 ลูก เทียบเท่ากับ ฮาแลนด์ และตามหลัง ซาลาห์ ที่ยิงไปแล้ว 24 ประตูในลีก
ฟอเรสต์ออกนำก่อนจาก คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย ในนาทีที่ 6 แต่ นิวคาสเซิล ยิงคืนสี่ลูกติด โดยเริ่มจาก ลูอิส ไมลี่ย์ ในนาทีที่ 23 ตามด้วยประตูของ เจค็อบ เมอร์ฟี และสองประตูจาก อิซัค ในนาทีที่ 33 และ 34
แม้ฟอเรสต์จะพยายามไล่ตามโดยยิงคืนสองลูกจาก นิโคลา มิเลนโควิช นาทีที่ 63 และ ไรอัน เยตส์ นาทีที่ 90 แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถแบ่งแต้มออกไปได้
ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้ฟอเรสต์แพ้สามจากสี่นัดหลังสุดในลีก และพลาดโอกาสขยับเข้าใกล้อันดับสองอย่างอาร์เซนอล